พลันที่คนของพรรครวมพลังประชาชาติไทยออกมา “กดดัน” ให้มีการพิจารณาโทษต่อพรรคเพื่อไทยในกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร ออกมาวิเคราะห์
ก็บอกได้เลยว่า “ความกลัว” ยังดำรงอยู่
ไม่เพียงแต่สะท้อนความกลัวต่อการดำรงอยู่ของ นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หากยังเป็นความกลัวต่อพรรคเพื่อไทย
เพราะว่าคำพูดของ นายทักษิณ ชินวัตร คือ พรรคเพื่อไทยจะชนะ
การแสดงความกดดันให้พิจารณาโทษพรรคเพื่อไทยว่ากระทำความผิดต่อพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองจึงแสดงความหวาดกลัวออกมาอย่างแจ้งชัด
เป็นความกลัวอย่างชนิดขี้หด ตดหาย
แน่นอน พรรครวมพลังประชาชาติไทยเป็นแหล่งรวมของบรรดา “นักเคลื่อนไหว” ทางการเมืองที่เคยมีบทบาทเป็นอย่างสูง
ก่อนรัฐประหาร 2549 ก่อนรัฐประหาร 2557
การแสดงความเห็นต่อบทบาทของ นายทักษิณ ชินวัตร และต่อพรรคเพื่อไทย จึงเท่ากับเป็นการยืนยัน “ความกลัว” โดยพื้นฐาน ที่สะสมและหมักหมมอยู่ในทางความคิด
นั่นก็คือ กลัวเลือกตั้งแล้วแพ้พรรคเพื่อไทย
ความกลัวนี้เองทำให้ต้องเพรียกหา “ทหาร” ให้ออกมาทำ “รัฐประหาร” แม้กระทั่งทำรัฐประหารผ่านมาแล้ว 2 ครั้ง ความหวาดกลัวก็มิได้จางหาย
ยังคงขี้หด ตดหาย อยู่เหมือนเดิม
ไม่เพียงแต่คำทำนายอันมาจาก นายทักษิณ ชินวัตร เท่านั้นที่ชี้ให้เห็นความเหนือกว่าของพรรคเพื่อไทยต่อทุกพรรคการเมือง
แม้กระทั่ง “สวนดุสิต” ล่าสุดก็ยืนยัน
ไม่ว่าจะมองผ่านสถานะแห่งความเป็นพรรคการเมืองเก่า ไม่ว่าะมองเชิงเปรียบเทียบกับพรรคการเมืองทั้งเก่าและใหม่ พรรคเพื่อไทยคือพรรคอันดับ 1
นี่คือสัญญาณบ่งชี้ว่าจะชนะใน “การเลือกตั้ง”
บังเอิญที่ความหวาดกลัวของคนมาจากพรรครวมพลังประชาชาติไทยสอดรับกับความหวาดกลัวที่ดำรงอยู่ภายในคสช. การกดดันนี้จึงมิได้สูญเปล่า
สัมผัสได้จากการขานรับของ “กกต.”
คำถามก็คือ มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะต้องจัดการกับพรรคเพื่อไทยก่อนเข้าสู่กระบวนการของการเลือกตั้งในทางเป็นจริง
คำตอบ คือ มีความเป็นไปได้
ความเป็นไปได้ 1 คือ ความพยายามในการรุกเข้าไปใช้ “พลังดูด” เอาอดีตส.ส.ซึ่งเป็นคนของพรรคเพื่อไทยออกมา และความเป็นไปได้ 1 คือ การเคลื่อนไหวจากบรรดาพรรคคสช.เพื่อยุบพรรคเพื่อไทย
พวกเขาคิดว่าเมื่อทำเช่นนี้แล้วชัยชนะก็จะเป็นของตน