ระหว่างการตระบัดสัตย์ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับ การถอนคำสาบานของ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ มีรายละเอียดแตกต่างกัน

แม้ว่าเป้าหมายจะคือ หวนคืน “การเมือง” เหมือนกัน

หากเทียบกับความยากลำบาก กรณีของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ สะดวกและง่ายดายมากกว่า เนื่องจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ปฏิบัติบนเงื่อนไข

“ไม่ขอมีตำแหน่งใดๆ” ในทางการเมือง

นั่นก็หมายรวมไปถึงไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.นั่นก็หมายรวมไปถึงการปัดปฏิเสธโอกาสที่จะได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีอันเป็นเป้าหมายของนักการเมืองทุกคน

แต่กรณีของ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ เหน็ดเหนื่อยมากกว่า

กล่าวในทางความคิด การโถมตัวเข้าไปร่วมสร้างพรรครวมพลังประชาชาติไทยกับ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่ยากลำบากแต่อย่างใด

ในเมื่อพรรคนี้เห็นด้วยกับ “คสช.” ค่อนข้างมาก

โดยพื้นฐานก็คือ มิได้ปฏิเสธ 1 รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 และ 1 ซึ่งสำคัญ คือ เห็นด้วยกับเจตจำนงในการสืบทอดอำนาจของคสช.

ทั้ง นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ก็เคยเป็น 1 ในแม่น้ำ 5 สาย

ทั้ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ปกป้องรัฐประหาร ปกป้องคสช.และรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่องถึงกับชี้แนะต่อมวลชนกปปส.ว่าเป็น “รัฐบาลของเรา”

แต่กรณีของ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ เหน็ดเหนื่อยมากกว่า

ที่เหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมากก็คือ อะไรคือเหตุปัจจัยทำไม นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ถือดอกไม้ธูปเทียนไปกล่าวคำสาบานต่อ “ย่าโม”

1 เพราะบทบาทของเขาก่อน “รัฐประหาร”

ขณะเดียวกัน 1 เพราะเขาได้รับผลสะเทือนจาก “รัฐประหาร” ถูกเรียกตัวเข้า “ค่ายทหาร” เป็นเวลา 7 วันเหมือนกับนปช.คนสำคัญอื่นๆ

จะต่างก็เพียงแต่เมื่อออกมาแล้วก็ “สาบาน” ว่าจะถอนตัวจาก “การเมือง”

กระบวนท่าแบบนี้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ไม่เคยปฏิบัติ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยังคงแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์คสช.เท่าที่เงื่อนไขจะอำนวย

ตรงนี้แหละที่เป็นชะงักกลางหลังของ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์

ขนาด นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศ “ตระบัดสัตย์” สังคมยังครางฮือกันถ้วนหน้า เมื่อมาถึงกรณี นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ถอนคำ “สาบาน” จะมิยิ่งหนักหนาสาหัสกว่าหรอกหรือ

ที่สำคัญมิได้เป็นเพียงคำสาบานต่อ “ย่าโม”

หากแต่ไม่ว่าคำสาบาน ไม่ว่าการจะถอนคำสาบาน ยังเป็นการกระทำ ณ เบื้องหน้าของประชาชน ไม่เพียงแต่ที่นครราชสีมาเท่านั้นหากดำเนินในลักษณะทั่วประเทศ

คำตอบจาก “ย่าโม” เมื่อผนวกกับจาก “ประชาชน” นั่นแหละไม่ควรมองข้าม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน