ไม่ว่าจะตรวจสอบผ่าน “ดีเอสไอ” ไม่ว่าจะตรวจสอบผ่าน “อัยการ” ไม่ว่าจะตรวจสอบผ่าน “ตำรวจ” เริ่มมีความเด่นชัด
เด่นชัดว่า “13 ธันวาคม” คือ “ดีเดย์”
หากดีเดย์ของกองทัพสัมพันธมิตรภาคพื้นยุโรปถือเอาการยกพลขึ้นบกที่ชายหาด “นอร์มังดี” เป็นเป้าหมาย
การดีเดย์ของ “ดีเอสไอ ตำรวจ ทหาร” คือ “วัดธรรมกาย”
ความมั่นใจนี้มีรากฐานมาจากการประชุมเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ณ กองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 ที่มี พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล เป็นประธานดำเนินการ
จากนั้น ร่องรอยแห่ง “กำลังพล” เริ่มปรากฏ
เหมือนกับจะลอกแผนปฏิบัติการที่เรียกว่า “กบิล 59” เมื่อเดือนมิถุนายนมาอย่างครบถ้วน แต่หากศึกษาอย่างลงลึกไปในรายละเอียด
ก็ต้องยอมรับว่ามี “พัฒนาการ”
พัฒนาการ 1 คือ ความพยายามในการดำเนินมาตรการ “การเมือง” นำหน้า จากนั้นจึงค่อยตามมาด้วยมาตรการทาง “การทหาร”
เห็นได้จากร่องรอยแห่ง “การเจรจา”
เริ่มจากเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ณ สภ.คลองหลวง ตามมาด้วยเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ณ วัดพระธรรมกาย
เห็นได้จากร่องรอยแห่ง “การยืดหยุ่น”
เห็นได้จากในเบื้องต้นมีตำรวจและดีเอสไอเป็น “กองหน้า” แต่เมื่อไม่ประสบผลสำเร็จ ไม่มีอะไรเป็นมรรคเป็นผล จึงแปรเปลี่ยนยกบทบาทให้กับ 1 สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) 2 เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองคณะสงฆ์ โดยต่อสายตรงไปยังมหาเถรสมาคมแล้วมาถึงเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี
เมื่อการยืดหยุ่นไม่ประสบ “ผล” ก็จำเป็นต้องใช้ “ไม้แข็ง”
ไม้แข็ง 1 ซึ่งสำคัญเป็นอย่างมากก็คือ การร้องเรียนไปยังกสทช. เพื่อให้ใช้อำนาจที่มีอยู่ในการออกคำสั่งปิดสถานีโทรทัศน์ DCM TV เป็นการชั่วคราว 30 วัน
ส่งผลให้ DCM TV “จอดำ”
นี่คือไม้แข็งอันได้มาจากการสรุปบทเรียนในการรุกเข้าไปภายในวัดพระธรรมกายเมื่อเดือนมิถุนายน และเล็งเห็นบทบาทในการปลุกระดม สร้างกระแสของ DCM TV
จึงอาศัยบทเรียนจาก “ประชามติ” มาจัดการอย่างเฉียบพลัน
ไม้แข็ง 1 คือการผนึกและสนธิกำลังระหว่าง 1 ดีเอสไอ 1 ตำรวจ 1 อัยการ 1 สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และ 1 มหาเถรสมาคม
เป็นการตระเตรียมก่อนปฏิบัติการ 13 ธันวาคม
บทบาทของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ บทบาทของมหาเถรสมาคม จึงสำคัญอย่างยิ่งยวด
เพราะเหมือนกับเป็นเจ้าหน้าที่ทางด้าน “ปฏิบัติการจิตวิทยา” เข้าพบและชี้แจงทำความเข้าใจกับ “มวลชน” ซึ่งเรียกขานตนเองว่า “ศิษยานุศิษย์”
เท่ากับเอา “พลเรือน” เข้าอยู่แถวหน้าในปฏิบัติการ “ทางทหาร”