ปฏิกิริยาจากพรรคการเมืองต่อคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 13/2561 เป็นปฏิกิริยาที่สามารถเข้าใจได้ ไม่ว่าจะมาจากพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะมาจากพรรคอนาคตใหม่ ไม่ว่าจะมาจากพรรคชาติไทยพัฒนา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อการเพิ่มล็อกในเรื่อง “โซเชี่ยล มีเดีย”
ตรงนี้เองที่ยืนยันการตั้งข้อสังเกตเชิงอธิบายถึง “ความกลัวที่ดำรงอยู่ของคสช.” อันมาจากวงในระดับ นายวิษณุ เครืองาม
นั่นก็คือ คสช.กลัวในเรื่อง “การหาเสียง”
นั่นก็คือ คสช.กลัวว่าการใช้ช่องทางผ่าน “โซเชี่ยล มีเดีย” ของพรรคการเมืองจะก่อให้เกิดความปั่นป่วน ยุ่งเหยิง
พรรคการเมืองจึงสงสัยว่า “คสช.” กลัวอะไร
หากดูจากความพยายามของคสช.ในการเล่นงานพรรคเพื่อไทยในวาระครบรอบ 4 ปีของรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
ก็จะเข้าใจความรู้สึกของคสช.มากยิ่งขึ้น
เพราะว่าการไปแจ้งความกล่าวโทษต่อการแถลงข่าวของแกนนำพรรคเพื่อไทยบางคนนั้นอ้างอิงไม่เพียงพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หากแต่โยงไปยังประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116
เป้าหมายก็คือ ไม่ต้องการให้มีการแถลงข่าว
นี่ย่อมตรงกับที่คสช.เข้าไปแจ้งความกล่าวโทษ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และคณะเนื่องจากการเฟซบุ๊กไลฟ์ที่พาดพิงไปยังคสช.
ความหมายก็คือ ไม่ต้องการให้มีการพาดพิง
พลันที่มีข้อห้ามปรากฏอยู่ในคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 13/2561 ในเรื่องการหาเสียงผ่านสื่อโซเชี่ยล มีเดีย ก็ก่อให้เกิดปฏิกิริยาและความตื่นตัวอย่างคึกคัก
เพราะอ่านออกว่า “เจตนา” แท้จริงของคสช.คืออะไร
ก็อย่างที่แกนนำพรรคเพื่อไทยมีความเห็น ก็อย่างที่แกนนำพรรคอนาคตใหม่มีความเห็น ก็อย่างที่แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนามีความเห็น
ความโกลาหลจากการเฝ้ามองของ “คสช.” จะต้องตามมา
เพราะว่ามีความเหลื่อมซ้อนเป็นอย่างสูงระหว่างการประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจต่อพรรคกับการหาเสียง
คำตอบจากกรณีนี้จึงต้องการความแจ่มชัด
บอกได้เลยว่า การนัดพบระหว่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในวันที่ 28 กันยายน กับพรรคการเมืองจะเป็นการนัดพบอันทรงความหมาย
ทุกคำถามอาจมีกับ “กกต.” แต่เป้าแท้จริงย่อมอยู่ที่ “คสช.”
ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคอนาคตใหม่ ไม่ว่าพรรคประชาชาติ ไม่ว่าพรรคชาติไทยพัฒนา หรือแม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ ย่อมมีคำถาม ย่อมมีความเห็น
เป็นความเห็นไปยัง “คสช.” อย่างเด่นชัด