เลือกตั้งไม่จบ หวาดเสียวกว่าเดิม

เลือกตั้งไม่จบ หวาดเสียวกว่าเดิมประเทศไทยผ่านเลือกตั้ง 24 มีนาคม มาแล้ว 2 สัปดาห์เต็ม

แต่บรรยากาศการเมืองภาพรวมยังเต็มไปด้วย ความขัดแย้งวุ่นวาย ไม่ได้เป็น “ทางออก” ให้กับประเทศ อย่างที่ประชาชนคนส่วนใหญ่ต่างคาดหวังไว้ก่อนหน้า

คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือกกต. ต้องเผชิญวิกฤตศรัทธาหนักหน่วง ถูกวิพากษ์วิจารณ์กระหึ่มทั้งในและนอกโลกโซเชี่ยลว่า ไม่มีความเป็นกลาง จัดการเลือกตั้งอย่างไม่โปร่งใสเป็นธรรม

นิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ทั้งจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ ม.เกษตรฯ ม.มหิดล ม.นเรศวร ม.บูรพา ฯลฯ ไปจนถึงมหาวิทยาลัยราชภัฏ เคลื่อนไหวตั้งโต๊ะล่าชื่อถอดถอน

ควบคู่ไปกับการที่พรรคการเมืองออกแถลงการณ์ กดดันให้เปิดเผยผลคะแนนรายหน่วย พิสูจน์ความโปร่งใสทั้งในเรื่องจำนวนผู้ใช้สิทธิ บัตรดี บัตรเสีย บัตรโหวตโน บัตรเขย่ง รวมถึงบัตรนิวซีแลนด์ ที่ไม่ถูกนับ

ล่าสุดยังเกิดกระแสข่าวเตรียม ตีลังกาออกสูตรคำนวณหาส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ หรือปาร์ตี้ลิสต์ เพื่อลดทอนเสียงพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ไปเพิ่มให้อีกฝ่ายเพื่อพลิกเกมตั้งรัฐบาล

ทำให้พรรคต่างๆ ทั้งเพื่อไทย อนาคตใหม่ ประชาธิปัตย์ ต้องออกมาดักคอกันขนานใหญ่

หลังมีข่าวแพร่สะพัด กกต.เตรียมใช้ “สูตรพิสดาร” แจกเก้าอี้ให้พรรคเล็กที่ได้คะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าส.ส.พึงมี เพิ่มขึ้นถึง 11 พรรค จุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มจำนวนเสียงให้พรรค ฝ่ายคสช. บรรลุเป้าหมายจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ

สถานการณ์มาถึงจุดที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้ กกต.แถลงยืนยันให้เกิดความชัดเจนว่าจะใช้วิธีการคำนวณรูปแบบใด เพราะตามหลักความเป็นจริง การใช้สูตรคำนวณเป็นกติกาที่ควรกำหนดชัดเจนตั้งแต่ก่อนการแข่งขัน ไม่ใช่มากำหนดหลังการแข่งขันเสร็จสิ้นไปแล้ว

ในประเด็นนี้ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต ผู้สมัครส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และอดีต กกต. ส่งสัญญาณเตือนว่า เรื่องสูตรคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ อาจเป็น “จุดตาย” ของกกต.ชุดปัจจุบัน ที่อาจนำไปสู่การถอดถอน และความผิดทางอาญา

นอกเหนือความวุ่นวายไม่เรียบร้อยในการ จัดการเลือกตั้ง ไม่ว่าการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร การเลือกนอกเขต การนับคะแนน การรายงานผล บัตรเขย่ง การให้ข้อมูลที่ไม่ชัดเจน

เพราะภายใต้สูตรคำนวณที่แปลความหมายทำให้ เกิดผลแตกต่างเป็นสองแบบ การตัดสินใจใช้แบบใดแบบหนึ่ง หากมีการพิสูจน์ได้ว่า เป็นการสนับสนุนให้พรรคการเมืองใดชนะการเลือกตั้งและสามารถตั้งรัฐบาลได้

อาจเข้าข่ายกระทำการเพื่อให้เกิดความได้เปรียบของพรรคการเมืองหนึ่งทำให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ มีผลให้ถูกศาลตัดสินจำคุกได้

จึงเป็นเรื่องที่ กกต.ทั้ง 7 คน ต้องคิดและรับฟังทุกฝ่ายให้รอบคอบ เพราะแปลความผิดอักษรเดียว มีพรรคที่ได้ มีพรรคที่เสีย และเขาฟ้องแน่นอน

ทั้งนี้ การที่ กกต.เจอแรงกดดันจากสังคมรอบทิศ จนระส่ำ

โดยเฉพาะการที่นิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ จำนวนมาก ออกมาตั้งโต๊ะล่าชื่อถอดถอน

ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่เพิ่ง ใช้สิทธิ์เลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งแรก หรือเฟิร์สต์โหวต ไม่ต้องการให้คะแนนเสียงของตนเองถูกบิดเบือน หรือไม่ตรงเจตนารมณ์ในการลงคะแนนให้พรรคที่ตัวเองรักและชื่นชอบ

สถานการณ์หลังเลือกตั้ง ส่อเค้าลุกลามบานปลาย

กกต.ลำพังอาจเอาไม่อยู่ เดือดร้อนถึงรัฐบาล คสช. แม้กระทั่งตัวพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องออกโรงปกป้องเรียกร้องทุกฝ่ายให้ความเชื่อมั่น กกต. หยุดเคลื่อนไหวสร้างความวุ่นวาย แตกแยกในบ้านเมือง

พล.อ.ประยุทธ์ ออกสารชี้แจงวันที่ 1 เมษายน ซึ่งเป็นวัน “ข้าราชการพลเรือน” ตอนหนึ่งระบุ

“มีผู้ไม่หวังดีบางคนบางกลุ่มได้พยายาม บิดเบือนข่าวสารข้อเท็จจริงในหลายประเด็น มีการใช้โซเชี่ยลมีเดีย และใช้บุคคลบางกลุ่มเข้ามาปลูกฝังแนวคิดที่ไม่ถูกต้อง แก่ประชาชนทั่วไป เพื่อมุ่งหวังให้บ้านเมืองเกิดความ ไม่สงบ และบ่อนทำลายสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”

ที่ตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคือ พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ออกมาแถลงต่อสื่อ มวลชนถึงท่าทีของกองทัพต่อสถานการณ์การเมืองหลังการเลือกตั้ง เรียกร้องนักการเมืองเคารพกติกาและยอมรับการทำหน้าที่ของ กกต.

พร้อมส่งเสียงคำรามเตือนให้นักการเมืองยุติ วาทกรรมแบ่งฝักแบ่งฝ่ายประชาธิปไตย กับเผด็จการ หากไม่ต้องการให้เกิดสงครามกลางเมืองอย่างที่แล้วมา

ก่อนปล่อยประโยคเดือด ฉุดอุณหภูมิการเมืองร้อนฉ่า

“ขอร้องนิสิตนักศึกษา ครูอาจารย์ ข้าราชการหลายท่านไปร่ำไปเรียนศึกษาต่างประเทศกันมา ไม่ว่าจะประเทศใดก็ตาม บางท่านได้ทุนของราชการไป หรือได้ทุนของในวังไปร่ำไปเรียนมา

แต่สิ่งที่ท่านไปร่ำไปเรียนมา ผมขอเน้นย้ำว่า ท่านไปเรียนระบอบประชาธิปไตยของประเทศอะไรมา ผมไม่ได้ว่า แต่ระบอบประชาธิปไตยในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่มีวัฒนธรรมของระบอบประชาธิปไตยของตัวเอง

ท่านลองถามตัวเองว่าเมื่อท่านไปอยู่ประเทศ อื่น ไปศึกษาไปเรียน หรือไปเที่ยวประเทศอื่น ทำไมท่านจะต้องปรับตัวให้เข้ากับประเทศอื่นตามระบอบประชาธิปไตยของประเทศ นั้น–

–ไม่ใช่พยายามจะเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่าไปเอาความซ้ายจัดที่ไปเรียนมาแล้วมาดัดจริต ประเทศอื่นเขาไม่มีที่จะมีแบบนี้ นี่คือเมืองสยาม เมืองแห่งรอยยิ้ม เมืองที่เรามีระบอบประชาธิปไตยของเราแบบนี้”

ไม่ว่าการออกสารของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือการแถลงท่าทีของพล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ถูกเชื่อมโยงว่า เป็นการส่งสัญญาณถึงพรรค การเมืองหนึ่ง ที่กระแสกำลังมาแรงมากที่สุดในเวลานี้

การที่พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งมีนาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นหัวหน้าพรรค นายปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นเลขาธิการพรรค ได้รับเลือกตั้งส.ส.เขต 30 ที่นั่ง

จากคะแนนรวมมากกว่า 6.2 ล้าน ยังทำให้ได้รับการคาดการณ์ว่าจะได้ส.ส.แบบบัญชีรายชื่ออีก 57 ที่นั่ง รวมเป็น 87 ที่นั่ง ส่งผลให้เป็นรองแค่พรรคเพื่อไทยกับพลังประชารัฐ

การที่พรรคอนาคตใหม่ ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นพรรคอันดับ 3 ทำให้เป็นพรรคกำลังหลักขั้วค่ายฝ่ายประชาธิปไตย ในการจัดตั้งรัฐบาล พร้อมที่จะยัดเยียดความปราชัยให้พรรคฝ่ายตรงข้าม

กล่าวกันว่า “ธนาธรฟีเวอร์” เป็นเรื่องอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของพรรคฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับ ประชาธิปไตย ที่ในการเลือกตั้งมัวแต่มุ่งเตะสกัดพรรคเพื่อไทย จนมองข้ามพรรคอนาคตใหม่ไป

และเมื่อมาถึงจุดที่ผลการเลือกตั้งไม่ สามารถกลับไปแก้ไขใดๆ ได้ การใช้สูตรคำนวณส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ทำให้ กกต.โดนจับจ้องจากหลายฝ่ายจนไม่กล้าทำอะไรที่น่าเกลียด

นอกจากยืดเวลาประกาศผลเลือกตั้งอย่างเป็น ทางการออกไปจนถึงวันที่ 9 พฤษภาคม ตามที่ขีดเส้นตายไว้ หรืออาจลากยาวไปได้อีกนิดหน่อยเหมือนที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ พูดชี้ช่องเปิดทางไว้ให้

ระหว่างนี้ฝ่ายผู้มีอำนาจจึงต้องใช้แผนสอง ที่กำหนดขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วน

ดังที่มีการตั้งข้อสังเกต ถึงการปัดฝุ่นคดีความขึ้นมาดำนินการกับ“ธนาธร”ในข้อหายุยง ปลุกปั่น เป็นภัยต่อความมั่นคงตามกฎหมายอาญา มาตรา 116

ส่วน “ปิยบุตร” ก็โดน ปอท.เรียกสอบเอาผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

รวมถึงความพยายามจากบุคคลกลุ่มหนึ่งที่เป็น กองเชียร์ คสช. ทยอยเข้าแจ้งความข้อหา

มีแนวคิดเป็นอันตรายต่อสถาบันเบื้องสูง จากการไปเป็นวิทยากรบรรยายหัวข้อ “การเมือง ความยุติธรรม สถาบันกษัตริย์” ตั้งแต่สมัยเป็นอาจารย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปี 2556

สถานการณ์หลังเลือกตั้ง ความขัดแย้งนอกจากไม่จบง่ายๆ

แถมส่อเค้าน่าหวาดเสียวมากกว่าเดิม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน