คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
กำหนดการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญในวันที่ 6 เมษายน ทรงความหมายเป็นอย่างสูง ไม่เพียงแต่เป็นวันจักรีซึ่งมีความหมายในทางประวัติศาสตร์ยุคกรุงรัตนโกสินทร์เท่านั้น
หากแต่อยู่ที่ความหมายและพลังแห่ง “รัฐธรรมนูญ”
พลันที่ปรากฏกำหนดการ พลันที่มีความแจ่มชัดว่าจะมีการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญซึ่งผ่านการลงประชามติและผ่านการแก้ไขเพิ่มเติม
ที่ตามมาก็คือ การคาดหวังใหม่ในทางการเมือง
ไม่เพียงแต่เป็นการส่งสัญญาณให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขยับตัว หากแม้กระทั่งภายในหมู่สปท. และสนช. ก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว
เท่ากับบอกบ่งว่า จะต้องมี “การเลือกตั้ง” ตามมาแน่นอน
การเลือกตั้งคือ ความคาดหวัง การเลือกตั้งคือนิมิตหมายอันบ่งบอกว่าจะนำไปสู่สถานการณ์ใหม่ในทางการเมือง
เท่ากับเป็นการสิ้นยุค “รัฐประหาร”
คนไทยผ่านประสบการณ์ในเรื่อง “รัฐประหาร” มาแล้วมากมายหลายครั้ง ขณะเดียวกัน ก็เคยผ่านประสบการณ์ในเรื่อง “การเลือกตั้ง” มาแล้วมากมายหลายครั้ง
หลัง “รัฐประหาร” ก็จะต้องมี “รัฐธรรมนูญ”
และพลันที่มีการประกาศและบังคับใช้ “รัฐธรรมนูญ” กระบวนการของ “การเลือกตั้ง” ก็จะต้องติดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
บางห้วงเวลาการร่างรัฐธรรมนูญอาจจะยาวนาน
แต่ถึงอย่างไรก็จำเป็นต้องมี “การเลือกตั้ง” ไม่ว่ายุคของ จอมพลถนอม กิตติขจร ไม่ว่ายุคของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์
“การเลือกตั้ง” จึงเป็นกระบวนการ 1 แห่งความเป็น “ประชาธิปไตย”
จากเดือนเมษายน 2560 เป็นต้นไป เมื่อมี “รัฐธรรมนูญ” และเมื่อศึกษาความเหมาะสมจึงมีความเป็นไปได้ที่จะมี “การเลือกตั้ง” ไม่น่าจะเนิ่นช้าไปกว่าต้นปี 2561
ระยะนี้จึงต้องเตรียมในเรื่องกฎหมายอันเกี่ยวกับ “การเลือกตั้ง”
ขณะเดียวกัน เมื่อจะมี “การเลือกตั้ง” ก็มีความจำเป็นต้องให้พรรคการเมืองและนักการเมืองได้มีการ เตรียมความพร้อมในการต่อสู้ ในการแข่งขัน
การปลดล็อกในทางการเมืองจึงมีความจำเป็น
คงเป็นเรื่องตลกที่ขำไม่ออกหากว่ากระบวนการ “การเลือกตั้ง” ของไทยจะดำรงอยู่โดยมีการห้ามขยับขับเคลื่อนในทางการเมือง
คำถามอยู่ที่ “นักการเมือง” จะยอมรับกับ “สภาพการณ์” เช่นนี้หรือไม่
บทบาทและความหมายที่สำคัญอย่างที่สุดของ “การเลือกตั้ง” คือการสิ้นสุดแห่งยุคของ “รัฐประหาร”
แม้มีความเชื่อว่าคสช.ได้ตระเตรียมในการร่าง “รัฐธรรมนูญ” เพื่อสืบทอดและรักษาอำนาจของตนอย่างเหนียวแน่นและมั่นคง
แต่การเมืองไม่ว่ายุคใดล้วนอยู่ภายใต้กฎแห่ง “อนิจจัง”