วิเคราะห์การเมือง
ในที่สุด กรณีของ “อโลฮา ฮาวาย” ก็ก้าวเดินไปในร่องรอยเดียวกันกับกรณีของ “แม่ผ่องพรรณพัฒนา” ราวกับเป็นคนละเรื่อง เดียวกัน
นั่นก็คือ ก้าวไปสู่สนามแห่ง “ความอยากรู้” อยากเห็น
เพราะพลันที่เรื่องราวค่อยๆ แผ่แบออกมาให้ประชาชนได้สัมผัส ก็มีความพยายามจากบางภาคส่วนที่จะปิดกั้นมิได้สายพานแห่งข่าวดำเนินไปตามวิถีของมัน
จึงมิได้มีแต่เรื่องของฝายที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เท่านั้นที่ได้รับการขุดคุ้ยขึ้น
หากกระบวนการจัดตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้าง “คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น” ก็ถูกดึงเข้ามาอยู่ในแสงแห่งสปอตไลต์
จุดเย้ายวนเป็นอย่างมาก คือ สำนักงานตั้งอยู่ใน “ค่ายทหาร”
จากนั้น รายละเอียดการประมูลงานในพื้นที่ของกองทัพภาคที่ 3 ก็เรียงล่ายส้ายกันปรากฏเหมือนภาพจอกว้างตระการตา 3 มิติ อลังการ
“แม่ผ่องพรรณพัฒนา” เป็นเช่นนี้ “อโลฮา ฮาวาย” เป็นเช่นนี้
ความจริง การเดินทางไปร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน+รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ ที่โฮโนลูลู มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นเรื่องของงาน
ทั้งยังเป็นงานอันมีผลประโยชน์ของประเทศรออยู่
ที่สำคัญ เท่ากับยืนยันว่าสัมพันธภาพระหว่างสหรัฐ-ไทยที่เคยแหม่งๆ ในห้วงหลังจากรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ได้เริ่มเข้าที่เข้าทาง
เข้าที่เข้าทางและเป็นคุณในทางการเมือง การทหาร
แต่เมื่อปรากฏเป็นข่าวในเรื่องการเสิร์ฟอาหารเช้าอย่างอลังการ และจุดประกายความสนใจว่าภายในจำนวน 38 คณะที่ร่วมคณะมีใครบ้าง แล้วได้รับการปิดกั้น ไม่ยอมเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา เว้นแต่ต่อองค์การที่ทำหน้าที่ตรวจสอบเท่านั้น
ก็กลายเป็นเรื่อง กระตุ้น “ต่อม” แห่งความอยากรู้ขึ้นมา
ต่อมแห่งความอยากรู้ อยากเห็น นี่แหละที่ทำให้กรณีของ “แม่ผ่องพรรณพัฒนา” ดำเนินไปอย่างมากด้วยสีสัน พรรณรายฉายฉัน
แล้วกรณี “อโลฮา ฮาวาย” มีหรือจะรอดพ้นไปได้
เห็นได้จากบรรดา “โซเชี่ยล มีเดีย” เริ่มนำภาพของอาหารเช้าเข้ามาโพสต์พร้อมกับการตั้งข้อสังเกตในเชิงคำถามว่า สอดรับกับ “เศรษฐกิจพอเพียง” หรือไม่
จากนั้นก็ลามไปยัง “เงื่อนงำ” อันทำให้ไม่สามารถเปิดเผย “รายชื่อ” ได้
แสงแห่งสปอตไลต์ฉายไปยังตัวบุคคลบางคนอันเป็นความสัมพันธ์ “ส่วนตัว” มากกว่าจะเป็นเรื่องของการงานและเป็นเรื่องเกี่ยวกับวาระซึ่งกำหนดไว้ในการประชุม
ทุกเรื่องที่มี “ส่วนตัว” เข้ามาเอี่ยว ย่อมมากด้วยความเย้ายวน
หากทีมงานของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดำเนินการอย่างโปร่งใสตั้งแต่ต้น
ในจำนวน 38 คนที่ร่วมทริปครั้งนี้เป็นใคร และมีบทบาทสำคัญอย่างไร จึงจำเป็นต้องเดินทางไปด้วย เปิดออกมาและแผ่แบอย่างโปร่งใสเบื้องหน้าสื่อทุกรูปแบบ
ก็เท่ากับดับ “ต่อมอยากรู้” ลงไปได้โดยอัตโนมัติ