คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
อาการตะลุมบอนทางการเมืองภายในสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนี้ คือ สัญญาณ 1 ในทางการเมืองก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลง
เหมือนก่อน นายเลียง ไชยกาล กล่าวคำอำลา
เหมือนก่อน นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ และ นายใหญ่ ศวิตชาติ กล่าวคำอำลาเพื่อไปร่วมในการก่อตั้งพรรคกิจสังคมกับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
เหมือนก่อน นายสมัคร สุนทรเวช จะแยกตัว
เหมือนก่อน นายอุทัย พิมพ์ใจชน จะแยกตัวออกไปเพื่อจัดตั้งพรรคก้าวหน้า พรรคเอกภาพ ตามลำดับ
เหมือนก่อน นายเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ จะแยกตัวไปจัดตั้งพรรคประชาชน
เป็นปรากฏการณ์ธรรมดาและปกติอย่างยิ่งในแวดวงการเมือง แต่เมื่อเกิดขึ้นในพรรคประชาธิปัตย์กลับไม่ธรรมดา
ถามว่าการถกเถียงของ “เจ้าชายสายฟ้า” กับผู้บริหารสถานีโทรทัศน์อันแนบแน่นอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์เกิดจากอะไร
คำตอบ 1 เกิดจากการดำรงอยู่ของ “กปปส.”
คำตอบ 1 เกิดจากผลสะเทือนจากการเคลื่อนไหวโดย “กปปส.” นำไปสู่การรัฐประหารและการขึ้นครองอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นับแต่เดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา
คำตอบ 1 เกิดจากการหวนคืนสู่พรรคประชาธิปัตย์ของ “กปปส.” จำนวนหนึ่ง
ต้องยอมรับว่า ปรากฏการณ์ของ “กปปส.” นับแต่เดือนพฤศจิกายน 2556 กระทั่งเกิด “รัฐประหาร” เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 มีความสัมพันธ์กัน
สัมพันธ์กับ “อนาคต” ของ “พรรคประชาธิปัตย์”
จากภายหลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 กระทั่งมาถึงการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ทำให้พรรคประชาธิปัตย์จำเป็นต้องเลือก
จะเลือกเหมือนกับที่ “กปปส.” เคยเลือกหรือไม่
จะเลือกเหมือนกับที่จำเป็นต้องคล้อยตามกับรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 โดยคสช.หรือไม่
นั่นก็คือ จะเลือกเห็นด้วยกับ “รัฐประหาร”
นั่นก็คือ จะเลือกที่จะเป็นพันธมิตรในแนวร่วมการสืบทอดอำนาจของรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ต่อไปอีกหรือไม่
ทางเลือกนี้สำคัญยิ่งต่ออนาคตของ “ประชาธิปัตย์”
วิวาทะอันเกิดขึ้นภายในพรรคประชาธิปัตย์ และกระจายขยายออกสู่แวดวงการเมืองจึงเป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้
เพราะนี่เป็นอีกแพร่งหนึ่งภายใน “ทางเลือก” ทางการเมือง
ไม่ว่าจะเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ว่าจะเป็น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีความจำเป็น