คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
แม้ว่าเนื้อแท้ของ “ปรองดอง” จะเป็นเรื่องของประชาชน แต่กระบวนการปรองดองในทางรูปธรรมและในทางเป็นจริงก็ต้องเป็นความรับผิดชอบของ “รัฐบาล”
ถามว่าการเคลื่อนไหว “ปรองดอง” เกิดขึ้นได้อย่างไร
คำตอบ 1 โดยพื้นฐานแล้วน่าจะเป็นความรู้สึก “ร่วม” ในทางสังคมว่านับแต่ก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เป็นต้นมา บ้านเมืองขัดแย้ง แตกแยก
แยกขั้ว เป็นกลุ่ม แตกต่างกันด้วยสีเสื้อ
แม้ผ่านรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 มาแล้วก็ ไม่สามารถสร้างความปรองดองสมานฉันท์ได้ จำเป็นต้องเกิดรัฐประหารขึ้นอีกในเดือนพฤษภาคม 2557
และประกาศอย่างแจ้งชัดว่าจะมาสร้างความรักความสามัคคีให้เกิดขึ้น
ตรงนี้เองทำให้คำตอบ 1 อยู่ที่ “รัฐบาล”
รูปธรรมของโครงการปรองดองเห็นได้จากคำสั่งและการแต่งตั้งอันเริ่มจากคสช.มอบหมายให้รัฐบาลเป็นคนรับผิดชอบในการขับเคลื่อน ดำเนินการ
ประธานของโครงการก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
เพียงเห็นชื่อนี้หลายส่วนหลายฝ่าย ไม่ว่าพรรคการเมือง กลุ่มการเมืองและภาคประชาสังคม ก็รู้สึกว่ามีความหวังว่าน่าจะประสบความสำเร็จ
มิใช่เพราะเป็น “รองนายกรัฐมนตรี” หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
หากที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นผู้มีบารมีและได้รับการยอมรับในทางการเมืองเป็นอย่างสูง
เมื่องานนี้อยู่ในมือ “พี่ใหญ่” ย่อมสำเร็จ
กระบวนการในการสร้างความปรองดองนับแต่เดือนกุมภาพันธ์ “วันวาเลนไทน์” เป็นต้นมาจึงเป็นการแสดงออกอย่างคึกคักโดยรัฐบาล
ถือได้ว่ากระทรวงกลาโหมเป็นเจ้าของเรื่อง
ขณะเดียวกัน พรรคการเมือง กลุ่มการเมือง ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา นปช. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตลอดจนกปปส. ต่างเดินเข้าสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ให้ความร่วมมือเสนอความเห็นอย่างคึกคัก
จากนั้นบรรดานายทหารไม่ว่าที่กองบัญชาการกองทัพไทย ไม่ว่าที่กองทัพบก ต่างประมวลความเห็นออกมาเป็น “ร่างสัญญาประชาคม”
เท่ากับยืนยันว่าทุกอย่างอยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาล
พิจารณาจากรูปธรรมแห่งความร่วมมือกันอย่างอบอุ่นทั้งภาครัฐ ภาคการเมือง ภาคประชาสังคม เด่นชัดว่าทุกอย่างน่าจะดำเนินเดินหน้าไปได้ด้วยความราบรื่น
ขึ้นอยู่กับว่าจะแปร “นามธรรม” ไปสู่ “รูปธรรม” อย่างไร
นั่นหมายถึงว่าคสช.และรัฐบาลจะใช้กลไกและอำนาจที่มีอยู่สร้างบรรยากาศแห่งความปรองดองให้บังเกิดขึ้นได้ในทางเป็นจริงอย่างไร
นี่คืองานที่อยู่บนบ่าของคสช.และของรัฐบาล