คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
ทั้งๆ ที่การที่ มวลชน จะไปห้อมล้อม มอบดอกไม้ ให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นภาพอันชินตาและเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะนับแต่หลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา
ไม่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะไปทำบุญที่ไหน ทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
กล่าวสำหรับการไปมอบดอกไม้ให้กำลังใจที่ ศาล
หากติดตามข่าวนับแต่ปี 2559 เป็นต้นมา จนถึงวันที่ 21 กรกฎาคม รวมแล้ว 16 นัด จะปรากฏภาพอันเจนตาเป็นอย่างยิ่งของ มวลชน โดยเฉพาะที่เป็น ชาวนา
แล้วเหตุใดในวันที่ 1 และ 25 สิงหาคม จึงเป็นประเด็น
ความจริง การเตือนในเรื่อง มวลชน นี้เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนการนัดสืบพยาน 3 ปากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม แล้ว
เป็นการเตือนว่าไม่ควรไป น่าจะฟังข่าวอยู่ที่บ้านมากกว่า
การเตือนในลักษณะป้องปรามอันมาจากเจ้าหน้าที่ทหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจ นำไปสู่การประเมินว่าจะมีมวลชนเดินทางไปไม่น่าจะมากกว่า 500
แต่ผลกลับเป็นตรงกันข้ามเพราะปรากฏว่าร่วม 1,000
ตรงนี้แหละที่ก่อให้เกิดความตื่นกลัวกระทั่งมีการจัดทำ บทวิเคราะห์ จากคสช.และนำไปสู่การรายงานข่าวแจ้งเตือนผ่านกองทัพภาค 4 กองทัพ แสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ในวันที่ 25 สิงหาคม อันเป็นวันนัดอ่านคำพิพากษา
การให้กำลังใจโดย มวลชน จึงกลายเป็นเรื่อง
เป็นเรื่องไม่เพียงเพราะมีการระบุว่า 1 ผิดกฎหมาย หากแต่ยังปานปลายขยายไปถึงขนาดที่ว่า 1 อาจเป็นการกดดันศาล
แล้ว 17 ครั้งที่ผ่านมา กดดัน หรือไม่
หรือเพราะว่าปริมาณของ มวลชน ที่เห็นเมื่อเช้าวันที่ 21 กรกฎาคม ดำเนินไปอย่างมีลักษณะก้าวกระโดดจนเกรงว่าในวันที่ 1 และในวันที่ 25 สิงหาคม อาจจะมหาศาล
จึงมีข่าว ป้องปราม จึงมีข่าวว่าจ้างหัวละ 1,500 บาท
เป้าที่ถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษก็คือ 1 พรรคเพื่อไทย 1 นปช. และแน่นอน 1 คือ ตัวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เอง
จากนี้เป็นต้นไปย่อมวนเวียนอยู่กับข่าวแบบนี้จนถึง 25 สิงหาคม
การเคลื่อนไหวจากฝ่ายอำนาจรัฐเช่นนี้เป็นกลยุทธ์ปฏิบัติการด้านข่าวสารอย่างที่เรียกว่า ป้องปราม ก่อนสถานการณ์จริงจะบังเกิด
ส่งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ไปกดดัน
ปล่อยข่าวลือทำลาย วิลิศมาหราถึงขนาดให้สนช.บางคนออกมาระบุจำนวนเงินไม่ต่ำกว่า 1,500 บาทต่อหัว
เป้าหมายจริงๆ ก็คือ ไม่อยากให้มา ไม่อยากให้เกิดขึ้น