เห็นการเคลื่อนไหวของคสช.และรัฐบาลผ่านบทบาทของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อกรณีการหายตัวไปของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้ว

หลายคนนำไปเปรียบเทียบกับกรณีของ นายทักษิณ ชินวัตร

จำได้หรือไม่ว่าการเคลื่อนไหวของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ กับ การเคลื่อนไหวของรัฐบาลนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำเนินไปอย่างไร

ดุเดือด เข้มข้น ไม่แพ้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

การยึดคืนหนังสือเดินทางไม่ว่าธรรมดา ไม่ว่าปกแดง ถือได้ว่าเป็นวิถีตามปกติ การขอความร่วมมือไปยังสำนักงานใหญ่ตำรวจสากลที่กรุงปารีส ถือได้ว่าเป็นวิถีตามปกติ

คำถามก็คือ ผลปรากฏออกมาอย่างไร

ผลไม่เพียงแต่ นายทักษิณ ชินวัตร ยังสามารถมีหนังสือเดินทางได้เหมือนที่เคยมี เพียงแต่มิได้ออกให้โดยรัฐบาลไทยเท่านั้น

แล้วการขอตัว นายทักษิณ ชินวัตร ในฐานะ “ผู้ร้าย” เป็นอย่างไร

รัฐบาลในยุค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยทำหนังสือขอตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยังรัฐบาลประเทศกัมพูชา แต่ก็ถูกปฏิเสธ

เช่นเดียวกับถูกปฏิเสธจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

นายทักษิณ ชินวัตร สามารถเดินทางไปประเทศใดก็ได้ทั่วโลกไม่ว่าสหรัฐอเมริกา อังกฤษ จีน เยอรมนี จะยกเว้นก็เฉพาะแต่ประเทศไทยเท่านั้น

นี่คือตัวอย่างและบทเรียนจาก นายทักษิณ ชินวัตร

กรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจมีรายละเอียดแตกต่างไปจากกรณีของ นายทักษิณ ชินวัตร อย่างเห็นได้ชัด

แม้จะถูกเรียกคืนหนังสือเดินทาง แม้จะมีการส่งหมายจับไปทั่วโลก

แต่ที่ได้ข่าวขณะนี้ก็คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้ขอหนังสือเดินทางจากประเทศใดประเทศหนึ่ง หากแต่กำลังยื่นเรื่องราวเพื่อขออยู่ในสถานะ “ผู้ลี้ภัย”

ตรงนี้ทำให้สถานะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่างจาก นายทักษิณ ชินวัตร

เพราะหากประเทศใดยินยอมให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ในสถานะ “ผู้ลี้ภัย” ในอีกด้านหนึ่ง เท่ากับเป็นการปฏิเสธต่อผลสะเทือนอันเนื่องแต่คำพิพากษา

และเท่ากับยอมรับว่าเธอเป็นเหยื่อในทางการเมือง

ความเงียบของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อประสานกับความเงียบของ นายทักษิณ ชินวัตร จึงสร้างความหวั่นไหวเป็นอย่างสูง

เพราะการตัดสินใจเป็น “เอกสิทธิ์” ของประเทศนั้นๆ

กระบวนท่าของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงเป็นกระบวนท่าอันสะท้อนพัฒนาการที่ต่างไปจากยุคของ นายทักษิณ ชินวัตร

สะท้อนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องของ “กลยุทธ์” ทั้งสิ้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน