วิเคราะห์การเมือง
ไม่มีสถานการณ์ใดที่จะฉายสะท้อนให้เห็นศักยภาพในการบริหารจัดการของ คสช.และรัฐบาลได้เด่นชัดเท่ากับกรณีอันเกิดขึ้นในกระทรวงแรงงาน
ไม่ว่าจะมองจากการใช้ “มาตรา 44”
ไม่ว่าจะมองจาก “ปฏิกิริยา” อันนำไปสู่การตัดสินใจยื่นใบลาออกจากตำแหน่งของ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
ความหมายหมายความว่า รับไม่ได้ ต่อ “คำสั่ง”
ไม่ว่าในที่สุดแล้ว ผลจากการออกคำสั่งตามมาตรา 44 ย้ายอธิบดีกรมการจัดหางานออกจากตำแหน่งอย่างชนิดฟ้าผ่านี้จะลงเอยอย่างไร
แต่ไม่เป็นผลดีต่อ คสช.และต่อรัฐบาล
หากประเมินจากคำสั่งหัวหน้า คสช.ย้ายอธิบดีกรมการจัดหางานออกจากตำแหน่งก็จะมองเห็นในความผิดพลาดอย่างเด่นชัด
เพราะเป็นเรื่องอันเกิดขึ้นในยุค “คสช.”
กล่าวคือ เกิดขึ้นหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ยากเป็นอย่างยิ่งว่าจะถือว่าอธิบดีคนนี้เป็นผลผลิตจากการบริหารจัดการของรัฐบาลก่อน
เป็นการเข้ามาดำรงตำแหน่งโดยการเลือกของ “รัฐมนตรี”
เป็นการเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมการจัดหางานโดยมติของคณะรัฐมนตรีที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งเป็นประธาน
แต่แล้วก็มีคำสั่งตามมาตรา 44 ปลดออก
การยื่นใบลาออกของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล จึงเท่ากับเป็นการแสดงความไม่เห็นด้วยกับคำสั่งตามมาตรา 44 โดยตรง
ทั้งมิใช่เป็นการลาออกคนเดียว
หากเป็นการลาออกครบหมดของทีมงาน โดยเฉพาะ พล.อ.เจริญ นพสุวรรณ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ที่ทำงานร่วมกันมา 2 ปีกว่า
เท่ากับยืนยันว่า เรื่องนี้ทำกันเป็น “ทีม”
เท่ากับยืนยันว่า คำสั่งตามมาตรา 44 จากการลงนามของหัวหน้า คสช.อาจขาดความรอบคอบและสวนทางกับแนวทางของกระทรวงแรงงาน
จึงไม่สามารถ “ร่วม” อยู่ใน “รัฐบาล” ได้
ปัญหาอันเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม กับ วันที่ 1 พฤศจิกายน จึงเป็นเรื่อง “ภายใน” ของ คสช.และของรัฐบาลโดยแท้
ไม่มี “พรรคการเมือง” เข้าไปเกี่ยวข้อง
บรรดาคน “เสมอนอก” ก็ตกอยู่ในสภาพแบบเดียวกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะ นั่นก็คือ รู้เรื่องนี้พร้อมกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยากยิ่งที่จะไม่ “ปรับครม.”