แรกที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ออกมาส่ง ส.ค.ส.ว่าด้วยสภาวะถดถอยของ “กองหนุน” หลายคนอาจจะยังงงๆ อยู่

เพราะเห็นใบหน้าอันเบิกบานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

เป็นความเบิกบานอันมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยืนรับ ส.ค.ส.จาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ด้วยความปลาบปลื้ม

แม้จะมีคนตั้งข้อสังเกตว่า เป็นส.ค.ส.ที่แปลกและแปร่ง

แต่เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาขานรับพร้อมกับเสนอว่าเนื่องจากคสช.และรัฐบาลยืนยาวมาเป็นปีที่ 4 ย่อมจะประสบสถานการณ์อย่างนี้

ก็รู้ว่าเป็นการแปร “วิกฤต” ให้เป็น “โอกาส”

กระนั้น สถานการณ์นับแต่วันที่ 28 ธันวาคม เป็นต้นมากระทั่งเข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์ก็เริ่มเห็นอย่างเด่นชัดมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับในเรื่อง “กองหนุน”

สัมผัสได้จากความหงุดหงิดของ “ประชาธิปัตย์”

ยิ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกมาแก้เกี้ยวในเรื่อง “นาฬิกา” หรูในลักษณะที่ว่าเป็นการยืมเพื่อนยิ่งทำให้เรื่องบานปลายออกไปอีก

พอปะทะกับกรณี “ยืม 300 ล้าน” จากเจ้าของอาบอบนวด

เท่านั้นแหละ กรณีนาฬิกา “ยืมเพื่อน” กับกรณี “300 ล้านบาท” ก็กลายเป็นการบรรจบกันระหว่าง ปิง วัง ยม น่านที่ปากน้ำโพ นครสวรรค์

พลันที่เกิดกรณี “หมอธี” ซ้ำเข้ามาอีกก็ “บาน”

มีความจำเป็นต้องออกมาในกระสวนที่ว่า “หมอธี” ออกปากขอโทษต่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นคนกลาง

เดิมพันมิได้อยู่ที่ตำแหน่งใน “ครม.” เท่านั้น

หากแต่ยังลากดึงให้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกลายเป็นไฟลัมเดียวกันไปกับคณะกรรมการป.ป.ช.โดยอัตโนมัติ

เท่ากับยืนยันความสำคัญของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

เป้าหมายที่เลือกกรรมวิธีอย่างนี้ก็เพื่อต้องการให้เรื่องจบ อย่างน้อยก็ไม่จำเป็นต้องมีการลาออกและไม่จำเป็นต้องปรับครม.เป็น “ประยุทธ์ 6”

แต่ดูเหมือนว่าเรื่องจะไม่จบ

ในที่สุด ผู้คนก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุปัจจัยอะไรทำให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ออกมาส่ง ส.ค.ส.ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

เห็นชัดยิ่งว่ามาจาก “นาฬิกา” นั่นเอง

กรณีของ “นาฬิกา” หรูนั่นแหละคือมูลเชื้อสำคัญอันทำให้บรรดา “กองหนุน” บังเกิดความคลางแคลงใจต่อคสช.และต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

เพราะรู้สึกว่าเป็น “ปัญหา” ที่ไม่มีการแก้ไข

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน