พลันที่พรรคอนาคตใหม่ปรากฏขึ้นด้วยความคึกคักและเข้มข้น หลายคนเกิดนัยประหวัดไปยังการปรากฏขึ้นของพรรคพลังใหม่หลังสถานการณ์เดือนตุลาคม 2516

การปรากฏขึ้นของพรรคการเมืองใหม่หลังรัฐประหารเดือนกันยายน 2549

เมื่อยกตัวอย่างจากพรรคพลังใหม่ประสานเข้ากับพรรคการเมืองใหม่ น้ำเสียงโน้มเอียงไปในเชิงสบประมาทมากกว่าจะมองเห็น “อนาคต”

เพราะพรรคพลังใหม่ก็หมดบทบาทไปในเดือนตุลาคม 2519

เพราะพรรคการเมืองใหม่ก็ลงเอยด้วยความขัดแย้งระหว่างหัวหน้าพรรคกับเลขาธิการพรรคกับปัญหาความไม่โปร่งใสในเรื่องเงินๆ ทองๆ

จึงเชื่อว่าพรรคอนาคตใหม่น่าจะเป็นไปอย่างนั้น

หากนำเอาพรรคอนาคตใหม่ไปวางเทียบกับพรรคการเมืองใหม่ หรือพรรคพลังใหม่ ก็อาจจะหดหู่และเศร้าหมอง

แต่ถ้านำไปวางไว้ข้าง “พรรคไทยรักไทย” อาจจะกลายเป็นอีกเรื่อง

พรรคไทยรักไทยเกิดในสถานการณ์ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ด้วยการลงมาของ นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งสะสมประสบการณ์มาจากพรรคพลังธรรม

ความเหมือนอย่างหนึ่งก็คือ บรรยากาศ “ต้อนรับน้องใหม่”

สภาพที่พรรคไทยรักไทยประสบ กับ สภาพที่พรรคอนาคตใหม่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้แทบไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่นิดเดียว

เพียงแต่พรรคไทยรักไทยกลับผงาดยืนอยู่ทระนงองอาจ

ความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญก็คือ พรรคไทยรักไทยมิได้แยกขาดจากนักการเมืองเก่า เราจึงเห็นคนอย่าง นายเสนาะ เทียนทอง เห็นคนอย่าง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์

ตรงกันข้าม พรรคอนาคตใหม่มีแต่คนหน้าใหม่

แม้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะเป็นหลานของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แต่ก็แทบไม่มีความสัมพันธ์ในเชิงอุดมการณ์เลย

ตรงนี้จึงอาจจะเป็น “จุดอ่อน” ของพรรคอนาคตใหม่

ยิ่งกว่านั้น พรรคอนาคตใหม่ยังจดแจ้งพรรคในบรรยากาศแห่งการครองอำนาจของคสช.ซึ่งมีฐานมาจากรัฐประหาร ยิ่งจะทำให้พรรคอนาคตใหม่ต้องเหน็ดเหนื่อยอย่างสาหัส

1 จะหาผู้สมัคร 350 เขตได้อย่างไร 1 จะหา 150 บัญชีรายชื่อได้อย่างไร

หากเริ่มต้นจากความเคยชินเก่าและประสบการณ์เก่าในทางการเมืองก็ยากเป็นอย่างยิ่งที่พรรคอนาคตใหม่จะสามารถแจ้งเกิดได้ในทางการเมือง

อายุอานามก็ถือได้ว่า “ละอ่อน” ทั้งสิ้น

ประสบการณ์และความจัดเจนในทางการเมืองเมื่อไม่มีนักการเมืองเก่าประเภทแตกลายงามาเป็นคนคอยให้ความช่วยเหลือก็มองไม่ออกว่าจะเข้าไปต่อสู้ภายในหล่มโคลนได้อย่างไร

ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ท้าทายต่อพรรคอนาคตใหม่ทั้งสิ้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน