นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คนที่ 13 เปิดเผยวิสัยทัศน์การดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ “Creating Partnership Platform to Drive Inclusive Growth” เพื่อขับเคลื่อนตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยการ “สร้างจุดเปลี่ยน-เสริมจุดปรับ-ชูจุดขาย-คงจุดยืน” เสริมศักยภาพตลาดทุนไทยให้แข็งแกร่ง โดยวางเป้าหมายสร้างแพลตฟอร์มสำหรับตลาดทุนตลอดกระบวนการ ขณะเดียวกันจะทำอย่างไรจะทำให้ตลาดหลักทรัพย์ทำงานเพื่อทุกภาคส่วนเพื่อให้ทุกอุตสาหกรรมเติบโตและเข้มแข็งยิ่งขึ้นและเสริมต่อระบบเศรษฐกิจไทยให้เติบโตขึ้นได้อย่างแข็งแรงโดยผ่านการใช้งานในตลาดหลักทรัพย์ได้ ซึ่งต่างจากในอดีตที่หลายคนมองว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นตลาดของคนรวย เอาไว้ใช้เก็งกำไร

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัล ถือเป็นความท้าทายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในอนาคต ทำให้เกิดนวัตกรรมและรูปแบบธุรกิจใหม่ และความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ดังนั้นการสร้างจุดเปลี่ยนโดยจะนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาเพิ่มประสิทธิภาพให้บริการแบบครบวรจร พร้อมสร้างแพลตฟอร์มเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและเน้นการทำงานร่วมกับผู้ร่วมตลาดทุน เพื่อต่อยอดบริการและสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมาตรฐานให้แก่ สำหรับการเสริมจุดปรับ ด้วยการเตรียมพร้อมบุคลากรในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดทุน ในการทำธุรกิจให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นพร้อมกับปฏิรูปกฎเกณฑ์และขั้นตอนการทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและลดอุปสรรคในการทำธุรกิจและการลงทุน

ส่วนจุดขาย จะสร้างตลาดทุนไทยให้โดดเด่นยิ่งขึ้นในเวทีโลก จากกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม ท่องเที่ยวและบริการ การแพทย์ และอาหาร เป็นจุดแข็งของประเทศ ส่งเสริมการเชื่อมโยงการระดมทุนและลงทุนของตลาดทุนไทยและตลาดทุนต่างประเทศ และคงจุดยืนในการส่งเสริมตลาดทุนไทยให้เติบโตยั่งยืนอย่างมีคุณภาพ และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการใหม่ทั้งเอสเอ็มอี สตาร์ตอัพเติบโตจากการระดมทุนในตลาดทุนไทย รวมถึงการดึงบริษัทต่างประเทศ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย เพื่อเพิ่มความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทยให้กับนักลงทุน

นายภากร กล่าวด้วยว่า มีโอกาสที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหุ้นของตลาดหุ้นไทยจะมีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับตลาดหุ้นสิงคโปร์ภายในปี 2023 หรือปี 2565 ตามที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เพราะหากดูจาก 2 ปีที่ผ่านมามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของตลาดหุ้นสิงคโปร์ อยู่ที่ 7.5 แสนดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 3.5 แสนดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ปัจจุบันมูลค่าตลาดหุ้นสิงคโปร์อยู่ที่ 8.5 แสนดอลลาร์สหรัฐ ส่วนตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 5.5 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งตลาดหุ้นไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสิงคโปร์ ดังนั้นหากตลาดหุ้นไทยรักษาการเติบโตของบริษัทใหม่ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปีละกว่า 40 บริษัท และมูลค่าหลักทรัพย์ประมาณ 2.5 แสนบาท ก็มีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะมีขนาดเทียบเท่าตลาดหุ้นสิงคโปร์ได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน