นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST ประเมินหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (9-13) ก.ค.) ยังคงมีปัจจัยลบกดดันตลาดให้มีความผันผวนอยู่ คือ สงครามการค้าที่จะเป็นได้ทั้งตึงเครียดมากขึ้นหรือผ่อนคลายลงจะมีผลต่อการลงทุนทั่วโลกและชี้ทิศทางตลาดหุ้นโดยตรง ขณะที่ตลาดพันธบัตรและค่าเงินต่างประเทศที่ทรงตัวถือเป็นสัญญาณที่ดี พิจารณาจาก พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ที่เคลื่อนไหวที่แถวระดับ 2.8% และค่าเงินดอลล่าร์ที่ค่อยๆอ่อนตัวลงมา เป็นตัวที่บ่งชี้ว่าตลาดการเงินเวลานี้ ไม่ได้มีความวิตกมากนัก เนื่องจากส่วนหนึ่งตลาดรับรู้เรื่องสงครามการค้ามาระดับหนึ่งแล้ว และนั่นยังทำให้โอกาสที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 3 ครั้ง มีน้อยลง

ขณะที่แรงขายของนักลงทุนต่างประเทศยังมีอยู่มาก สัปดาห์ที่ผ่านมามีแรงขายออกไปจากตลาดหุ้นไทย 10,000 ล้านบาท (รวมทั้งปี 2018 อยู่ที่ -1.80 แสนล้านบาท) เหตุผลหลักๆ 3 ประการ คือ ดอกเบี้ยเปลี่ยนทิศทางเป็นขาขึ้น , การหยุดใช้ QE และการปรับ valuation ของตลาดรับปัจจัยลบที่มากขึ้น ขณะที่สงครามการค้าเป็นเพียงหนึ่งในตัวแปรลบแม้จะคลายความกังวลเรื่องนี้ไปได้ แรงขายนักลงทุนกลุ่มนี้ก็อาจไม่ได้ลดลงไปมากนัก

ดังนั้นในสำคัญที่สุดของสัปดาห์นี้ และอาจเป็นตัวแปรทางลบตัวเดียวที่คงอยู่ในตลาด คือ สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ว่าจะมียอมผ่อนปรนซึ่งกัน หลังสหรัฐฯและอียู มีท่าทีที่จะเปิดการเจรจาการค้ากัน หากมีสัญญาณบ่งชี้ว่า สงครามการค้าจะจบหรือเบาลงกว่าที่เป็นอยู่ คาดจะเป็นปัจจัยบวกตัวหนึ่งของตลาดหุ้นไทยเลย

สำหรับกลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ ตลาดที่ยังไม่เสถียรยังมีโอกาสหลุด 1,600 จุดอีกครั้ง หากสงครามการค้าบานปลายออกไป การลงทุนจึงต้องใช้ความระมัดระวัง ปรับกรอบเวลาเป็นเล่นสั้นๆ แต่ขึ้นต่อก็ถือได้ โดยสัปดาห์นี้ เน้นหุ้นสองแบบ คือ หุ้นที่มีระดับความเสี่ยงที่ไม่มาก อย่างเช่น CPALL, ADVANC, CPF, BBL, BEM หุ้นที่ราคาลงมามากหรือตอบรับกับข่าวลบไปมากแล้ว RS, TRUE , MCS , PTTGC, KTB คาดกรอบดัชนีฯสัปดาห์นี้ 1,590-1,634 จุด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน