นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า ประเด็นการตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐฯ และจีน เชื่อว่าจะมีผลต่อกานลงทุนในตลาดหุ้นไทยไปถึงปลายปี เนื่องจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธาณาธิบดีสหรัฐฯ ใช้เป็นเกมเพื่อหวังผลทางการเมืองจนกว่าการเลือกตั้งจะเสร็จสิ้นในเดือนพ.ย.นี้

สำหรับภาวะตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ถือว่าอยู่ในช่วงการฟื้นตัวขึ้นไปที่ระดับดัชนี 1,730 จุด ซึ่งบริษัทคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในปีนี้ที่ 1,760 จุด โดยในช่วงที่ดัชนีปรับตัวลดลงต่ำที่ระดับ 1,600 จุด มีหุ้นใหญ่ที่ให้เงินปันผลเฉลี่ย 3.5-6% ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น เพราะให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนจากเงินฝาก 1.25% ต่อปี ทำให้นักลงทุนทยอยซื้อหุ้นสะสม นอกจากนี้ กำไรบริษัทจดทะเบียนไทยยังถือว่าอยู่ในระดับแข็งแกร่ง โดยคาดการณ์ปีนี้เติบโตได้ 9.6%

ส่วนผลกระทบกำแพงภาษีสหรัฐ-จีน ปีนี้น่าจะยังเห็นผลกระทบไม่ชัดเจน ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงในมูลค่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จะมีผลกระทบกับจีดีพีของจีน เพียง 0.1-0.2% ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับการเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่ 6.6-6.8%

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังมีการขยายตัวที่ดี ไม่ว่าจะเป็นกำไรของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งบริษัทมองว่าปีนี้จะกระจายตัวมากขึ้น รวมถึงการส่งออก ท่องเที่ยว ยังขยายตัวได้ดี ดังนั้นคำแนะนำสำหรับหุ้นที่น่าสนใจในการลงทุนคือ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ ประกอบด้วยกลุ่มค้าปลีก โรงไฟฟ้า กลุ่มการเงิน และกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม แม้ว่าช่วงนี้จะเจอผลกระทบจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนยกเลิกการเดินทางมาไทย แต่คาดว่าเป็นเพียงระยะสั้น

นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารที่เพิ่งประกาศผลประกอบการออกมาดีเกินกว่าตลาดคาดการณ์ ซึ่งเป็นจากความกังวลรายได้จากการยกเว้นค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมกานเงินผ่านออนไลน์ ซึ่งกระทบเพียง 3% ของกำไรทั้งปี ประกอบกับมีการเลื่อนบังคับใช้มาตรฐานรายงานทางการเงินใหม่ (IFRS9) ซึ่งประเด็นนี้เป็นผลบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร ทำให้แนวโน้มราคาหุ้นน่าจะมีโอกาสปรับขึ้นได้ 10%

สำหรับหุ้นที่ยังหลีกเลี่ยงลงทุน บริษัทมองว่าเป็นกลุ่มเกษตร เพราะยังมีความผันผวนสูง เนื่องจากราคาพืชผลยังไม่ฟื้นตัวอย่างที่คาดไว้ รวมถึงกลุ่มส่งออกที่เกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากอยู่ในสายการผลิตของหลายๆ ประเทศที่อาจได้รับผลกระทบจากปัญหาการค้าสหรัฐ-จีน

สำหรับแผนดำเนินงานบริษัท ปีนี้ตั้งเป้าหมายขึ้นเป็นผู้นำตลาดการซื้อขาย Block trade โดยตั้งเป้ามีส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ในแง่มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ระดับมากกว่า 12% จากปัจจุบันอยู่ที่เฉลี่ย 12% ซึ่งใกล้เคียงคู่แข่ง ซึ่งประเมินว่าตลาด Block trade มีแนวโน้มจะเติบโตสูงในอนาคต ซึ่งในช่วง ม.ค. มีมูลค่าธุรกรรม Block trade เมื่อเทียบกับมูลค่าหุ้นถึง 60,000 ล้านบาท

ส่วนมูลค่าการซื้อขาย Block trade ต่อวันอยู่ที่เฉลี่ย 5% ของมูลค่าการซื้อขายตลาดรวม ซึ่งถือว่ายังต่ำมาก เมื่อเทียบกับตลาดต่างประเทศที่ 30% หากประเมินของบริษัทมูลค่าการซื้อขาย Block trade มีอัตราการเติบโตขึ้นถึง 200% ในปี 2559 เมื่อเทียบกับปี 2560 ขณะที่ของตลาดรวมเติบโตได้ 50% โดยจุดเด่นของบริษัทคือมีอัตราค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่าอุตสาหกรรม โดยอยู่ที่ 0.10 บาท ต่อมูลค่าการซื้อขาย จากอุตสาหกรรมอยู่ที่ 0.11 บาท ส่วนดอกเบี้ยบัญชีมาร์จิ้นของบริษัทอยู่ที่ 5.06% ต่อปี เทียบกับดอกเบี้ยของอุตสาหกรรม 6-7% นอกจากนี้ เงินปันผลบริษัทให้กับนักลงทุน 100% เมื่อเทียบกับรายอื่นให้เพียง 80% นอกจากนี้ บริษัทมีฐานทุนจดทะเบียนที่สูงกว่าคู่แข่งรายอื่น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน