นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ (4-8 ก.พ.) มีแนวโน้มในเชิงบวก หลังจากปัจจัยสำคัญเรื่องการเจรจาการค้าของสหรัฐฯกับจีนที่ลุล่วงไปได้ด้วยดี โดยผู้นำทั้งสองประเทศเตรียมที่จะพบกันเพื่อเจรจากันอีกครั้งในวันที่ 27-28 ก.พ. รวมถึงปัจจัยบวกธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่มีการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ถือเป็น 2 ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดค่อนข้างมากแม้จะรับรู้มาระยะหนึ่งแล้ว แต่ภาพที่มีความชัดเจนขึ้นทำให้นักลงทุนมีความกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจและเรื่องดอกเบี้ยขาขึ้นน้อยลง KTBST เชื่อว่าจะยังคงเป็นแรงบวกสำคัญต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะเดียวกันเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มอ่อนค่าตามทิศทางดอกเบี้ยยังเป็นแรงบวกต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์, น้ำมันและทองคำด้วย

ส่วนปัจจัยในประเทศ เงินลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ ยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยในเดือนม.ค. มีตัวเลขซื้อสุทธิ (net buy) เป็นเดือนแรก ที่ 6.7 พันล้านบาท หลังจากถูกขายติดต่อกันมา 15 เดือน ถึง 3.2 แสนล้านบาท รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาทที่ขึ้นไปแตะ 31.3 บาทต่อดอลลาร์ หรือ +3% จากปลายปีก่อน เป็นสัญญาณว่านักลงทุนต่างประเทศกลับมาให้ความสนใจต่อตลาดหุ้นไทย จากก่อนหน้านี้ที่ให้น้ำหนักกับการลงทุนในตลาดอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์มากกว่า ซึ่งจากการที่เงินบาทแข็งค่า ยังเป็นผลบวกต่อหุ้นกลุ่มที่มีหนี้ในสกุลเงินดอลล่าร์และกลุ่มผู้นำเข้าสินค้าไอที , น้ำมัน-ปิโตรเคมี, ไฟฟ้า ด้วย ซึ่งหุ้นหลักๆ ของกลุ่มนี้ ได้แก่ EGCO, PTT, TOP, GULF, PTTGC, MSC, SYNEX เป็นต้น

ขณะเดียวกันผลจากการกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจนทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาซื้อหุ้นในช่วงที่ผ่านมา และในช่วงสัปดาห์นี้จะเข้าสู่ช่วงของการรับสมัคร ส.ส. ในวันที่ 4-8 ก.พ. และเปิดเผยชื่อตัวแทนที่จะเป็นนายกฯ ของแต่ละพรรคพร้อมทั้งการหาเสียงเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ หากผลการเลือกตั้งมีแนวโน้มที่จะเป็นบวกต่อตลาด นั่นคือ “รัฐบาลมีเสถียรภาพ เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง” ดัชนีฯก็จะเดินหน้าต่อไปได้อีกครั้ง

“KTBST เชื่อว่าผลการเลือกตั้งที่ออกมาน่าจะออกมาในทางที่เป็นบวกต่อตลาดหุ้นมากกว่าที่จะเป็นลบ อีกประเด็นที่ต้องติดตามคือ ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 หากยังมีค่าอยู่ในระดับสูงต่อไปจะมีผลกระทบต่อธุรกิจหรือหุ้นที่อิงกับการท่องเที่ยว รวมถึงมาตรการที่ออกมาอาจคุมการใช้รถยนต์ ซึ่งจะมีผลต่อปริมาณการใช้น้ำมันที่จะลดลงไปด้วย”

สำหรับการลงทุนในสัปดาห์นี้ KTBST ประเมินตลาดเคลื่อนไหวทรงตัวในเชิงบวก (sideway up) ต่อจากสัปดาห์ก่อน คาดดัชนีฯ เคลื่อนไหวในกรอบ 1,640-1,680 จุด โดยเป้าหมายดัชนีฯในเชิงกลยุทธ์ คือที่ระดับ 1,650 จุด หากไม่มีปัจจัยลบที่เข้ามาในตลาดอีก ทั้งนี้การเก็งกำไรในรอบสั้นคือเมื่อดัชนีฯเข้าใกล้ 1,680 จุด ให้มองเป็นจุดขายทำกำไร ส่วนในเชิงกลยุทธ์ยังแนะลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ที่ได้แรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามา ได้แก่ BBL, KBANK, TOP, IVL และหุ้นขนาดเล็กที่มีปัจจัยเฉพาะตัว ไดแก่ THANI, BWG, SYNEX, NER และ ANAN

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน