สภาธุรกิจตลาดทุนไทยเผยการเมืองฉุดดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนลด 2.83% โดยยังอยู่ในเกณฑ์ทรงตัวเป็นเดือนที่สอง

การเมืองฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน – นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ประจำเดือนพ.ค. 2562 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า หรือ เดือน ก.ค. 2562 อยู่ที่ระดับ 104.49 ปรับตัวลดลงเล็กน้อย 2.83% โดยยังอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว (ช่วงค่าดัชนี 80-119) เป็นเดือนที่สอง โดยพบว่าความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศปรับตัวลดลงมาอยู่ในโซนทรงตัว, กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นมาอยู่ในโซนร้อนแรง, นักลงทุนรายบุคคลและกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ อยู่ในโซนทรงตัวเช่นเดิม โดยมีปัจจัยในประเทศจากสถานการณ์การเมืองภายหลังการเลือกตั้งเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ขณะที่เสถียรภาพรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้งและผลการเจรจานโยบายการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน

สำหรับหมวดธุรกิจที่นักลงทุนมองว่าน่าสนใจ คือ หมวดพลังงาน และสาธารณูปโภค (ENERG) หมวดพาณิชย์ (COMM) และหมวดการแพทย์(HELTH) ส่วนหมวดที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดเหมืองแร่ (MINE) หมวดสิ่งพิมพ์ (MEDIA) และหมวดธนาคาร (BANK)

นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่าในช่วงเดือน เม.ย. ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ เคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 1,644-1,675 จุด โดยทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นในทิศทางขาขึ้น (ไซด์เวย์อัพ) โดยทิศทางการลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปัจจัยที่มีผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุดยังคงเป็นปัจจัยในประเทศจากสถานการณ์ทางการเมืองที่อยู่ระหว่างการประกาศผลเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลในช่วงเดือนพ.ค. ขณะที่ปัจจัยการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศและปัจจัยทางเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นในลำดับรองลงมา ขณะที่ความกังวลเสถียรภาพทางการเมืองจากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้งยังคงเป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด รองลงมาคือปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ และภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่มีแนวโน้มการขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลง จากการคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีการปรับคาดการณ์ลดลง

“เชื่อว่าดัชนีความเชื่อมั่นในเดือนถัดไปจะปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะทำให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรี และมีการจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ คาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จในเดือนมิ.ย.นี้ โดยจะทำให้ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้จะมีกระแสเงินทุนจากต่างชาติไหลกลับเข้ามาลงทุนในไทย เหมือนเช่นตลาดหุ้นอินโดนีเซีย หลังการเลือกตั้งมีความชัดเจน ทำให้มีกระแสเงินลงทุนต่างประเทศไหลกลับเข้ามา”นายไพบูลย์ กล่าวและว่า สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการประชุมกันในเดือนพ.ค.นี้ คาดว่าจะยังคงที่ระดับ 1.75% ไม่เปลี่ยนแปลง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน