นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนประจำเดือน ส.ค. 2562 ว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้า เพิ่มขึ้น 19.89% มาอยู่ที่ระดับ 131.21 โดยถือว่าอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ทั้งนี้ ปัจจัยหนุนมาจากความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุดคือ การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศจากนักลงทุนต่างประเทศเข้าซื้อสุทธิในตลาดหุ้น รองลงมาคือนโยบายทางการเงินของสหรัฐ จากการส่งสัญญาณการลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 และการคาดหวังนโยบายภาครัฐ ภายหลังการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา

ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศโดยการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังมีการเปลี่ยนแปลงไม่สามารถคาดการณ์ได้ เป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด รองลงมาคือความกังวลผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน จากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว การส่งออกที่ลดลงและค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เป็นปัจจัยที่นักลงทุนจับตามอง

สำหรับหมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดพาณิชย์ ส่วนหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ เงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ และปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ

นายไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า เตรียมเข้าพบกับรมว.คลัง ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ เพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนแบบใหม่ ที่จะเข้ามาทดแทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) โดยจะมีลักษณะเด่น คือสามารถเพิ่มวงเงินการลงทุนสูงสุดได้ 30% ของรายได้พึงประเมิน และ ยอดรวมไม่เกิน 250,000 บาท จากเดิม เพื่อที่จะตอบโจทย์ลดความเหลื่อมล้ำ รวมถึงจะเสนอให้มีการปรับเปลี่ยนประเภทของหลักทรัพย์ที่กองทุนรวมจะลงทุนได้ ด้วยการกำหนดสัดส่วนการลงทุน 65% ให้ลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ หรือกลุ่มหุ้นยั่งยืนที่ดำเนินธุรกิจ โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาล

ขณะที่ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลัง แนะนำกลยุทธ์ลงทุน 3 D คือ หุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภคในประเทศ หุ้นกลุ่มที่ราคาไม่เคลื่อนไหวไปตามภาวะตลาด และหุ้นกลุ่มปันผล เช่นหุ้นโรงพยาบาล เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการลงทุนใหญ่ๆ ไปแล้ว และจะรับรู้ผลกำไรที่ดีขึ้น รวมถึงกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่สร้างรายได้แบบสม่ำเสมอ อย่างหุ้นกลุ่มระบบขนส่งมวลชน และกลุ่มธุรกิจอาหารที่มีมาร์จิ้นที่ดีขึ้น และราคายังปรับตัวขึ้นช้ากว่าตลาด

สำหรับกองทุน LTF ซึ่งจะสามารถซื้อได้ถึงปลายปีนี้เท่านั้น โดยครี่งปีแรกมีเงินไหลออกไปแล้ว 1.4 หมื่นล้านบาท และในไตรมาส 4 ปีนี้คาดว่าจะมีกระแสเงินไหลเข้าในกองทุน LTF รวมแล้วไม่น้อยกว่า 4 หมื่นล้านบาท

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน