บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 22/2560 โดยมีผู้บริหาร ได้แก่ นายโกวิทย์ โปษยานนท์ ประธานกรรมการ, นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ, นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ และนายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ พร้อมด้วยคณะกรรมการบริษัท ร่วมประชุม โดยที่ประชุมมีมติอนุมัติจ่ายเงิน ปันผลประจำปีให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท โดยมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปเมื่อเดือนก.ย. 2559 ในอัตราหุ้นละ 0.04 บาท และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท ผลตอบแทนจากเงินปันผล (ดิวิเดนด์ยีลด์) สูงเกือบ 6% รวมเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 1,714 ล้านบาท และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 9 พ.ค. 2560

นอกจากนี้ เพื่อดำเนินธุรกิจตามแผนงานในปี 2560 บริษัทยังได้อยู่ระหว่างการเสนอขายหุ้นกู้ ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 3 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.40% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุของหุ้นกู้ ซึ่งกำหนดราคา 1,000 บาทต่อหน่วย มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณของ 100,000 บาท ให้กับผู้ถือหุ้นกู้ที่จัดออกโดยบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ทุกรุ่น ผู้ลงทุนทั่วไป และผู้ลงทุนสถาบันในเดือนเม.ย.นี้

โดยหุ้นกู้ชุดใหม่ที่เตรียมเสนอขายได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตหุ้นกู้จากเดิม BBB เป็นระดับ BBB+ ผู้สนใจสามารถติดต่อจองซื้อ หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 และธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ โทร. 02-777- 6784

“วัตถุประสงค์ของการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ เป็นไปเพื่อชำระคืนหุ้นกู้ชุดเดิม และ/หรือเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการพัฒนาโครงการของบริษัท ตามแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2560 ซึ่งบริษัทได้วางแผนการดำเนินธุรกิจในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อตอบรับความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ 19 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 41,200 ล้านบาท แบ่งเป็นการพัฒนาโครงการเป็นที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม 8 โครงการ โครงการบ้านเดี่ยว 9 โครงการและโครงการทาวน์เฮาส์ 2 โครงการ ในเซกเมนต์หรือระดับราคาระดับ medium-end และ hi-end เป็นหลัก บริษัท ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมสำหรับปี 2560 ไว้ประมาณ 36,000 ล้านบาท รวมทั้งประมาณการณ์รายรวมได้ไว้ที่ 34,000 ล้านบาท”นายวันจักร์กล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานล่าสุด ณ ไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านม บริษัทสามารถทำกำไรได้ถึง 1,600 ล้านบาทเติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อนซึ่งมีกำไร 600 ล้านบาท สูงถึง 167% มีรายได้รวม 11,700 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 72% จากไตรมาสก่อนที่มีรายได้ 6,784 ล้านบาท ในขณะที่ผลประกอบการรวมของปี 2559 บริษัทมียอดขายกว่า 31,139 ล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 10% จากปีก่อนที่มียอดขายรวมประมาณ 28,512 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้รวม 34,395 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการทยอยส่งมอบคอนโดมิเนียมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิ โครงการ เดอะ เบส เซ็นทรัล-พัทยา ซึ่งมียอดโอนไปแล้วถึง 98%, โครงการคอนโดมิเนียม The XXXIX (เดอะ เทอร์ทีไนน์) ซึ่งสามารถปิดการโอนได้เต็ม 100% อย่างรวดเร็ว และ โครงการคอนโดมิเนียม เอดจ์ สุขุมวิท 23 (EDGE Sukhumvit 23) ซึ่งทยอยโอนในช่วงปลายปีที่ผ่านมา

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน