นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับอิหร่าน เป็นปัจจัยใหม่ ที่อยู่เหนือความคาดเดาที่เกิดขึ้นในปีนี้ และไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์จะบานปลายแค่ไหน แต่สิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ได้มีการศึกษาความขัดแย้งในหลายๆ เหตุการณ์สำคัญที่กระทบกับตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง และพลิกกลับขึ้นมาได้ภายในระยะเวลาไม่นาน ซึ่งสถานการณ์ความขัดแย้งของสหรัฐ-อิหร่าน ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นสิ่งที่อยากให้นักลงทุนอ่านบทวิเคราะห์ให้มาก ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบกับแต่ละอุตสาหกรรมอย่างไร เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นจะไม่เท่ากัน

อย่างไรก็ดี ไม่อยากให้นักลงทุนกังวลจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นอยากให้นักลงทุนมองเหตุการณ์หุ้นลง 1-1.5% ให้เป็นโอกาสในการเข้าลงทุน โดยเฉพาะหุ้นที่ให้ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล เพื่อมาทดแทนการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนในรูปของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งปัจจุบันค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะผลตอบแทนจากกาลงทุนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ซึ่งปัจจุบันให้ผลตอบแทนเพียง 1.3% ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์

“สถานการณ์โลกในปัจจุบันมีความไม่แน่นอนและความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่างไรก็ดีนับตั้งแต่ต้นปี 2563 ถึงปัจจุบัน จะพบว่านักลงทุนต่างประเทศเข้ามาซื้อหุ้นไทยแล้วกว่า 2,000 ล้านบาท ยิ่งไปกว่านั้นในภาวะที่ตลาดหุ้นไทยร่วงลง 1-1.5% อาจเป็นจังหวะของการเข้าซื้อของนักลงทุนต่างประเทศ”

พร้อมมองว่าปีนี้จะเริ่มเห็นเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยดูได้จากตัวเลขการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติล่าสุดขยับใกล้ 30% ใกล้เคียงช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ที่ถือครอหุ้นไทยอยูที่ 30-31% ซึ่งเทียบกับปี 2562 ที่การถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติลดลงเหลือ 29% ขณะเดียวกันปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่สภาพคล่องทางการเงินค่อนข้างสูง ทำให้นักลงทุนยังมีระดับความเสี่ยงที่สามารถเลือกลงทุนในตลาดหุ้นได้ โดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยและอาเซียน ที่ยังมีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี ทำให้เป็นจุดดึงดูดนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างประเทศ

ขณะที่ความเสี่ยงของค่าเงินบาทแข็งค่าในปีนี้ มีโอกาสจะลดน้อยลง แม้ว่าปัจจุบันไทยยังมีบัญชีเดินสะพัดที่ค่อนข้างสูง แต่จากแผนการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลในปีนี้ คาดว่าจะมีการนำเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศ ประกอบกับสถานการณ์ความขัดแย้งของสหรัฐฯ-อิหร่าน อาจส่งผลกระทบกับตลาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ดังนั้นมองว่าสถานการณ์ค่าเงินบาทในปีนี้น่าจะไม่แข็งค่าเหมือนในอดีต

อีกทั้งภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปี 2562 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,579.84 จุด เพิ่มขึ้น 1% ตลอดปีในสกุลเงินบาท โดยนับว่าให้ผลตอบแทนน้อยสุดในรอบ 4-5 ปีก่อนหน้า แต่หากดูผลตอบแทนเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐอยู่ที่ 9.7% เป็นเหตุผลทำให้นักลงทุนต่างประเทศ เป็นกลุ่มที่มีการขายสุทธิหุ้นไทยมากที่สุด โดยเป็นการขายเพื่อกำไร ซี่งถือว่าผลตอบแทนจากตลาดหุ้นไทยไม่น้อยเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก แต่จะน้อยกว่าผลตอบแทนจากตลาดหุ้นสหรัฐ ที่มีการเติบโต 20%

“สิ่งที่จะเห็นเป็นปรากฎการณ์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นปัจจุบันคือ เงินไหลเข้า-ออกได้เร็วขึ้น แต่สิ่งที่เราเห็นค่อนข้างคงที่คือ คุณภาพบริษัทจดทะเบียนของไทย ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยมีบริษัทที่อยู่ในในดัชนีหุ้นชั้นนำของโลก หรือ MSCI ถึง 41 บริษัท ซึ่งมากที่สุดในอาเซียน และมี 20 บริษัท อยู่ในหุ้นยั่งยืน หรือ DJSI ขณะที่มี 7 บริษัทที่ดีที่สุดในโลก ที่อยู่ในที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล หรือ ESG” นายภากร กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน