นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ประเมินว่า GDP ของสหรัฐ จะเร่งตัวขึ้นต่อเนื่องจากระดับ 2.1% ในปี 2560 เป็น 2.4% ในปี 2561 โดยได้รับแรงหนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ เช่น มาตรการลดภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา การฟื้นตัวของภาคการบริโภคและการลงทุน ท่ามกลางความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดในรอบหลายปี

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณขยายตัวดีได้หนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐ พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทำจุดสูงสุดใหม่ในปี 2560 และหากประเมินจากค่า Forward P/E ของดัชนี S&P500 ที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับประมาณ 18 เท่า จะพบว่าเป็นระดับ P/E ที่เกือบจะสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เป็นรองแค่เพียงช่วงฟองสบู่ดอทคอมในช่วงปี 2543-2545 ทำให้คาดว่าตลาดหุ้นโดยรวมของสหรัฐ จะมี upside ค่อนข้างจำกัดในปี 2561 แต่หากพิจารณารายกลุ่มอุตสาหกรรม (Sector) พบว่ายังมีบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีและมูลค่าอุตสาหกรรมไม่ปรับขึ้นมาก

“เรายังเห็นโอกาสการลงทุนในบาง Sector ที่ยังมี upside อยู่ เช่น ในกลุ่มธุรกิจการเงิน ซึ่งจะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น โดยเรามองว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในเดือนธ.ค. นี้ และต่อเนื่องอีก 3 ครั้งในปีหน้า ซึ่งจะทำให้รายได้จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net Interest Margin: NIM) ของธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการผ่อนคลายกฎระเบียบของสถาบันการเงิน เช่น การผ่อนคลายกฎ Volcker Rule ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารมีกำไรเพิ่มขึ้นจากการซื้อขายหลักทรัพย์ และการผ่อนเกณฑ์การทำ Stress Test ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน และเพิ่มความยืนหยุ่นในการจ่ายเงินปันผลคืนให้ผู้ถือหุ้นอีกด้วย” นายคมศร กล่าว

ทั้งนี้ ด้วย Valuation ของตลาดหุ้นที่อยู่ในระดับสูงทั่วโลก เรามองว่ากลยุทธ์การลงทุนในปี 2561 ต้องลงทุนอย่างระมัดระวัง โดยหลีกเลี่ยงหุ้นที่ปรับขึ้นร้อนแรงในระยะสั้น เน้นลงทุนในตลาดหรือ Sector ที่ Valuation ยังอยู่ในระดับที่เหมาะสม และควรมี Theme การลงทุนที่ชัดเจน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน