นายสมพร ว่องวุฒิพรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า ภายใต้สถานการณ์ราคาน้ำมันที่ตกต่ำและยังมีความผันผวน บริษัทมีการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานอย่างเข้มงวด ส่งผลให้ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2559 ของ ปตท.สผ. และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 388 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2558 ที่มีขาดทุนสุทธิ 986 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลจากการบันทึกการด้อยค่าของสินทรัพย์ในปีที่แล้วเป็นจำนวนถึง 1,385 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยในรอบ 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานสูงถึง 1,727 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายลงทุนเพื่อรักษาระดับการผลิต นอกจากนี้ บริษัทยังคงรักษาสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีเงินสดในมือ 3,722 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2559 เพื่อรองรับโอกาสการลงทุนเพิ่มเติม พร้อมกับมองหาโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ โดยเฉพาะโครงการที่อยู่ในช่วงการผลิตหรือช่วงการพัฒนาซึ่งใกล้จะเริ่มผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงการขยายการลงทุนในโครงการสำรวจ

ทั้งนี้ ใน 9 เดือนแรกปี 2559 บริษัทมีรายได้รวม 3,281 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยที่ลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยมีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 36.00 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ 47.47 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังสามารถรักษาปริมาณการขายเฉลี่ยอยู่ที่ 320,600 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ซึ่งเป็นไปตามแผนงานในการรักษาปริมาณการขายทั้งปี 2559 ให้อยู่ระดับเดียวกับปีก่อน และที่สำคัญบริษัทสามารถลดต้นทุนในการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง โดยต้นทุนต่อหน่วยสำหรับ 9 เดือนแรกปี 2559 อยู่ที่ 29.98 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือลดลง 23% เมื่อเทียบกับต้นทุนเฉลี่ยของปี 2558 ที่อยู่ที่ 38.88 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ลดลงมากกว่าเป้าหมายการลดต้นทุนที่ตั้งไว้เดิมที่ 10% เป็นผลให้บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานตามปกติ (Recurring Net Income) อยู่ที่ 345 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ซึ่งในรอบ 9 เดือนแรกนี้ บริษัทมีกำไรจากรายการที่ไม่ใช่การดำเนินงานปกติ (Non-Recurring) จำนวน 43 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นผลสุทธิจากผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจาก 36.09 ต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็น 34.70 ต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2559 และส่งผลให้เกิดผลประโยชน์ทางภาษีและจากสัญญาประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน ซึ่งรวมผลขาดทุนจากการประเมินมูลค่าสัญญาฯ คงเหลือ ณ สิ้นไตรมาส 3 จำนวน 52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยแล้ว โดยผลขาดทุนดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัทฯ

สำหรับในไตรมาส 3 ปี 2559 บริษัทมีกำไรสุทธิ 156 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 5,446 ล้านบาท) โดยเป็นกำไรจากการดำเนินงานตามปกติ 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำไรจากรายการที่ไม่ใช่การดำเนินงานปกติ (Non-Recurring) 81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกำไรจากการประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน (Oil Price Hedging) จำนวน 23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้รวมผลขาดทุนจากการประเมินมูลค่าสัญญาฯ คงเหลือ ณ สิ้นไตรมาส 3 จำนวน 52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยแล้ว และยังได้รับผลประโยชน์จากค่าใช้จ่ายทางภาษีที่ลดลงจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน