ชโยกรุ๊ป จ่อระดมทุนขายไอพีโอ เล็งนำเงินที่ได้ซื้อหนี้ด้อยคุณภาพมาบริหาร

นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทีมผู้บริหารของบริษัทมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจติดตามหนี้มาเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี ก่อนที่จะขยายธุรกิจมาลงทุนซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารในปี 2557 ทั้งหนี้ที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน จากนั้นในปี 2559 บริษัทได้จัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า หรือ คอลเซ็นเตอร์ เพื่อขยายขอบเขตการให้บริการให้ครอบคลุมความต้องการลูกค้าของบริษัท รวมทั้ง ให้บริการแก่บริษัททั่วไปที่ต้องการทีม คอลเซ็นเตอร์ มืออาชีพเข้ามาช่วยดูแลสนับสนุนการขายและการตลาด

โดยล่าสุดบริษัทมีความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ โดยบริษัทมีแผนจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้สำหรับการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันราว 70% คืนเงินกู้ 20% และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนอีก 10% ซึ่งบริษัทคาดว่ามูลค่าสินทรัพย์รวมหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ จะเพิ่มขึ้นเป็น 900-1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 300 ล้านบาท โดยจะมีส่วนช่วยทำให้หนี้สินต่อทุน (ดี/อี) ลดลง โดยมีเป้าหมายจะรักษาระดับไว้ไม่เกิน 1.5-2 เท่า

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2557-2559 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 53.90 ล้านบาท 141.23 ล้านบาท และ 197.14 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 18.81 ล้านบาท 68.94 ล้านบาท 70.89 ล้านบาท ตามลำดับ และในไตรมาสที่ 3 ปี 2560 มีกำไรสุทธิ 45.27 ล้านบาท โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2560 บริษัทมีพอร์ตบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ อยู่ที่ 28,430 ล้านบาท นอกจากนี้ ในปี 2561 ในแง่ของสัดส่วนรายได้ จะมาจากธุรกิจลงทุนและบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ 70% ธุรกิจบริการติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้สิน 25% และธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ อีกราว 5% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจลงทุนและบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพอยู่ที่ 30% ธุรกิจบริการติดตามหนี้ 25% และธุรกิจคอลเซ็นเตอร์ 20%

ทั้งนี้ ชโย กรุ๊ป เตรียมเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 140 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยการเสนอขายหุ้นครั้งนี้แบ่งเป็นการเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปจำนวน 105 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อผู้บริหาร (ที่ไม่ใช่กรรมการ) และพนักงานของบริษัท จำนวน 7 ล้านหุ้น เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณ จำนวน 21 ล้านหุ้น และเสนอขาย ต่อบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับบริษัท จำนวน 7 ล้านหุ้น โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน