ตะลอนพม่า หลังเปิดประเทศ ชมไฮไลท์เมืองย่างกุ้ง ไหว้พระเสริมสิริมงคล-ช้อปอัญมณีขึ้นชื่อ ชมช้างเผือกคู่บ้านคู่เมือง
ผู้ชายนุ่งโสร่ง ผู้หญิงใส่ผ้าถุง ปาดหน้าด้วยทานาคา หากไปเยือนพม่าคงได้พบเห็นสิ่งนี้จนชินตา เป็นเอกลักษณ์ที่อยู่คู่สังคมมายาวนาน
ครั้งนี้เราได้รับเกียรติจากบริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในเครือสหพัฒน์ จากประเทศไทยที่ให้การสนับสนุนการประกวดมิสยูนิเวิร์ส เมียนมา 2019 เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ที่ผ่านมา จึงมีโอกาสเยือนพม่าไปพร้อมกัน
รูปร่างหน้าตาของผู้คนที่นี่ค่อนข้างมีความหลากหลาย เพราะประกอบไปด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ถึง 135 กลุ่ม และมี 8 กลุ่มชาติพันธุ์หลัก คือ พม่า มอญ ฉาน กะเหรี่ยง คะฉิ่น ฉิ่น คะยา และยะไข่ ข่าวคราวความขัดแย้งเรื่องชาติพันธุ์จึงปรากฏให้เห็นอยู่เรื่อยๆ
มาที่นี่ก็อาจจะงงๆ กับการการขับรถของพม่า คือมันอะเมซิ่งมากๆ ที่มีทั้งพวงมาลัยซ้าย และพวงมาลัยขวา ไกด์เล่าว่า เดิมใช้แบบซ้ายเพราะตามแบบอังกฤษที่เป็นเจ้าอาณานิคมในยุคนั้น (ได้รับเอกราชในปี ค.ศ.1948) แต่นายพลเนวิน เปลี่ยนมาใช้ด้านขวา เพราะไม่อยากตามอังกฤษ และเลือกนำเข้ารถจากญี่ปุ่นเป็นหลัก แต่เท่าที่สังเกตดูรถใหม่บางคันก็ยังเป็นพวงมาลัยซ้ายอยู่ คงเป็นความเคยชินของบางคน
วัดพระหินขาว
การตะลอนเที่ยวประเทศประวัติศาสตร์ และเมืองสายบุญนี้ วันแรกจึงเริ่มต้นด้วย วัดพระหินขาว หรือพระหินอ่อน “Lawka Chantha Abaya Labamuni Buddha Image”
องค์พระขนาดใหญ่ที่สร้างจากหินขาวมันวาว สะอาดและไม่มี ตำหนิ สูง 37 ฟุต กว้าง 24 ฟุต หนัก 60 ตัน เป็นพระพุทธรูปประทับนั่ง พระหัตถ์ขวาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากสิงคโปร์ และศรีลังกา ยกขึ้นหันฝ่าพระหัตถ์ออกจากองค์ หมายถึงการไล่ศัตรู และประทานความเจริญรุ่งเรือง
ใกล้ๆ กับวัดพระหินขาวเราได้แวะชม ‘ช้างเผือก’ คู่บ้านคู่เมือง ที่มีสีนวลเสมอทั่วทั้งตัว หากใครต้องการเลี้ยงอาหาร ก็สามารถซื้อผลไม้ส่งให้ควาญช้างป้อนได้
นั่งรถต่อเพื่อเดินทางช้อปปิ้งที่ “สก๊อตมาร์เก็ต” (SCOTT MARKET) หรือ ตลาดโบ่ซกอ่องซาน สถานที่ช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศ เป็นศูนย์รวมของฝาก
ตั้งแต่อาหารนานาชนิด เสื้อผ้า ของที่ระลึก เครื่องเงิน ไม้แกะสลัก ผ้าไหมลาย ตลาดนี้สร้างโดยนายสก๊อต ชาวอังกฤษ
ตรงข้าม สก๊อตมาร์เก็ตเป็นห้างที่ชื่อว่า Junction City มีขนาดใหญ่ และทันสมัยที่สุดในเมืองย่างกุ้ง คล้ายกับสยามพารากอนของไทย
มาถึงพม่าขนาดนี้แล้วทีมเราเลยต้องจัดหนักจัดเต็มเข้าร้านผ้าเพื่อซื้อโสร่ง และชุดผ้าถุง เตรียมตัวแต่งองค์ทรงเครื่องเพิ่มอรรถรสของทริป สีสันและลายทอของผ้าพม่ามีความสวยงามเด่นสดุดตา ส่วนราคาก็เริ่มต้นที่ 200 บาทไปจนถึง 900 บาทสำหรับผ้าทอมือ
เมื่อซื้อชุดกันเสร็จเรียบร้อย จึงเดินซอกแซกหาร้านหยก และอัญมณี เท่าที่หาข้อมูลมาทราบว่าไม่มีเม็ดพลาสติกปน คือเป็นของแท้แน่นอน
ระหว่างที่สาวๆ กำลังเลือกกำไล ต่างหูกันนั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นร้านขายทองข้างๆ มีหญิงสาวคนหนึ่งมานั่งรอซื้อทองคำ
เมื่อตกลงราคากันได้ก็ถึงคราวต้องชำระเงิน และก็ต้องตาโต เพราะเธอหยิบเงินจากถุงผ้ามาตั้งบนโต๊ะ สายตาเราจ้องเขม่งไปที่เงิน เพราะ ก้อนแรกผ่านไป ก้อนสอง ก้อนสามค่อยๆ ผ่านไป สิ้นสุดที่ก้อนที่หก ไม่รู้ว่าซื้อทองเยอะ หรือว่าพอเป็นเงินจ๊าดพม่าแล้วมันจึงต้องใช้ธนบัตรเยอะกว่าเงินบ้านเรา (1 บาท เท่ากับ 48 จ๊าด)
หลังรับประทานอาหารเย็นกันแล้ว เราจึงเปลี่ยนชุดที่ซื้อมาเพื่อไปที่ พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง พระเจดีย์ทองคำคู่บ้านคู่เมืองพม่า อายกุว่า 2,500 ปี เจดีย์ทองแห่งเมืองดากอง หรือ ตะเกิง ชื่อเดิมของเมืองย่างกุ้ง รอบๆ มีลานอธิษฐานเพื่อเสริมสร้างบารมีและสิริมงคล
สีทองอร่ามที่เห็นนั้นคือ แผ่นทองคำหนัก 2 บาท ถูกนำมารีดและแปะจนทั่วทั้งเจดีย์ รวมทองคำหนักประมาณ 5 ตัน เพิ่มความอลังการด้วยเพชร และอัญมณี
ชั้นบนสุดมีทับทิม 2,317 เม็ด และเพชรเม็ดใหญ่ 76 กะรัต หากเดินไปตามแผนที่ที่แนะนำ ก็จะเห็นประกายแสงที่เพชรเม็ดโตสาดกระจายมา แม้ยามค่ำคืนก็สามารถเห็นได้ รับรู้ได้ถึงพลังศรัทธาของชาวพม่าที่มีต่อพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า
นอกจากนี้รอบๆ องค์เจดีย์ยังมีพระประจำวันเกิด ประดิษฐาน ทั้ง 8 ทิศรวม 8 องค์ หากท่านเกิดวันไหนก็ให้ไปสรงน้ำพระประจำวันเกิดจะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต พระมหาเจดีย์ชเวดากอง คือ ที่สุดของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่า เพื่อความรุ่งเรือง ร่ำรวย ร่มเย็น เป็นสุข
เกือบทุกวัดที่ไป เราจะพบคนหลากหลายวัย ทั้งคนเฒ่า คนแก่ เด็ก และวัยรุ่น ไม่มีกลุ่มใดมากเป็นพิเศษ สัมผัสได้ว่าวัยรุ่นที่นี่ยังให้ความสำคัญกับศาสนาพุทธอยู่มาก เป็นวิถีชีวิตประจำวันเหมือนการไปเที่ยว หรือไปเรียน
ตระเวนรับสิริมงคลกันต่อที่ เจดีย์โบดาทาวน์ อันเป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นเทพทันใจ (นัตโบลโบจี) เทพผู้ปกปักรักษาและบันดาลโชค ไฮไลท์ของเมืองย่างกุ้งที่คนไทยนิยมไปขอพร เคล็ดลับคือ ให้เอาดอกไม้ ผลไม้
โดยเฉพาะมะพร้าวอ่อน กล้วย หรือผลไม้อื่นๆ มาสักการะ แนะนำให้นำเงินบาทดีกว่า เพราะเราเป็นคนไทย แล้วเอาไปใส่มือเทพทันใจ 2 ใบ ไหว้ขอพรแล้วดึงกลับมา 1 ใบ นำมาเก็บรักษาไว้ จากนั้นก็เอาหน้าผากไปแตะกับนิ้วชี้ของเทพทันใจ แค่นี้ก็ ปิ๊ง! สมความปรารถนาโดยพลัน
หลังจากขอพรเทพทันใจเสร็จ อีกฟากหนึ่งของถนน ยังได้สักการะ เทพกระซิบ ซึ่งมีนามว่า “อะมาดอว์เมี๊ยะ” ตามตำนานเล่าว่า นางเป็นธิดาของพญานาค ที่เกิดศรัทธาในพทุธศาสนาอย่างแรงกล้า รักษาศีลไม่ยอมกิน เนื้อสัตว์จนเมื่อสิ้นชีวิตไปกลายเป็นนัตซึ่งชาวพม่าเคารพกราบไหว้กันมานาน
ห้องที่เกิดเหตุลอบสังหาร
สถานที่อันซีนของเมืองย่างกุ้งอีกแห่งคือ The Secretariat หรือ The Minister’s Building อาคารรัฐสภาหลังเก่าก่อนย้ายเมืองหลวงไปที่กรุงเนปิดอว์ สถานที่แห่งนี้ป็นสถาปัตยกรรมยุคโคโลเนียล ที่สมบูรณ์ที่สุดของพม่า และเป็นจุดที่นายพลอองซาน พ่อของนางอองซาน ซูจี และรัฐมนตรีทั้ง 6 คนถูกลอบสังหารเมื่อปี ค.ศ.1947
ห้องประชุมรัฐสภาในอดีต
ปัจจุบัน The Secretariat กำลังอยู่ในช่วงการบูรณะ แต่รัฐบาลก็แบ่งพื้นที่บางส่วนให้ Pyinsa Rasa เครือข่ายศิลปินทำโปรเจค Art Space เพื่อแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยทั้งด้านภาพถ่าย ภาพยนตร์ ทัศนศิลป์ และการแสดง
นอกจากจะได้เห็นที่ท่องเที่ยวแลนด์มาร์กสำคัญๆ ของพม่า ทัวร์ครั้งนี้ยังทำให้เราได้เห็นถึงการพัฒนา และความก้าวหน้าของประเทศนี้ ที่กำลังเร่งเครื่องแซงหน้าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่างรวดเร็ว ที่เห็นชัดๆ คือ ระบบขนส่งมวลชน เพราะ หลังเลือกตั้งเมื่อปี 2561 รัฐบาลใหม่ก็เริ่มทดลองใช้ ‘ย่างกุ้งโมเดล’ จัดการเปลี่ยนรถเมล์ใหม่ เป็นรถปรับอากาศสภาพดี และระบบจ่ายเงินด้วยบัตร ไม่ต้องพึ่งกระเป๋ารถเมล์มาคอยเก็บเงินฉีกตั๋ว
อีกทั้งยังเปิดประเทศให้นักลงทุนต่างชาตินำเงินมาประกอบธุรกิจ แต่ก็ยังอยู่ในขอบข่ายที่ทางรัฐบาลกำหนดไว้ ในแต่ละประเภทธุรกิจ
เราได้มีโอกาสสอบถามเรื่องระบบสวัสดิการจากไกด์ท้องถิ่น ทำให้ทราบว่า รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณมหาศาลเพื่อเป็นดูแลสุขภาพประชาชน โดยสามารถหาหมอได้ฟรี และนำใบสั่งยาไปซื้อยา หากวิกฤตจริง ทางโรงพยาบาลจะฉีดยา และให้ยาฟรี เห็นอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลมีความพยายามยกระดับพม่าให้มีเสถียรภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ แม้ยังขาดแคลนทุน และทรัพยากรมนุษย์ที่มีความรู้ความสามารถในการพัฒนาประเทศอยู่ แต่คาดว่าไม่นานพม่าอาจจะกลายเป็นประเทศที่มีความมั่งคั่งและมั่นคงได้ในอนาคต
สุนันทา บวบมี
