“รุก กลางกระดาน”
ใกล้เข้ามาทุกขณะสำหรับการตัดสินคดีเกี่ยวกับจำนำข้าวที่อยู่ในการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งมีกำหนดนัดอ่านคำพิพากษาใน วันที่ 25 ส.ค. นี้
โดยศาลจะเริ่มอ่านคำพิพากษา คดีระบายข้าวจีทูจี ที่มีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ และพวกอีก 28 คนเป็นจำเลย
ต่อจากนั้นจึงอ่านคำพิพากษาคดีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ถูกฟ้องคดีว่าปล่อยปละละเลยจนเกิดการทุจริตเกี่ยวกับจำนำข้าว
ถือเป็น 2 คดีสำคัญที่สังคมจับตาดู
ขณะเดียวกับบรรดาจำเลยของคดี ไม่ว่าจะเป็น นายบุญทรง หรือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ยืนยันจะมาฟังคำพิพากษาด้วยตัวเอง
ดังที่มีภาพ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกเลือกซื้อสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันตามปกติ
แสดงให้เห็นว่าไม่ได้หวั่นไหวอะไรไปกับการพิพากษาคดีครั้งนี้
แต่ที่น่าสนใจก็คือท่าทีของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทั้งตำรวจ ทหาร ที่ออกคำสั่งกำชับเจ้าหน้าที่ให้เอกซเรย์ในพื้นที่โดยเฉพาะภาคเหนือ-อีสาน
มีการจัดกำลังพลไปซ้อมยุทธวิธีรบในหมู่บ้านที่ลำพูน โดยอ้างว่าเตรียมกำลังลง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
การบุกไปหาแกนนำเกษตรกรที่เชียงใหม่ ให้เซ็นเอ็มโอยูว่าจะไม่เข้ามาให้กำลังใจยิ่งลักษณ์ ที่กรุงเทพฯ
หรือกระทั่งการออกหนังสือเวียนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้จับตารถรับจ้างที่ถูกจ้าง โดยระบุว่าอาจมีความผิดเข้าข่ายการเคลื่อนไหวทางการเมือง
เข้าข่ายละเมิดสิทธิของประชาชนหรือไม่!??
ยิ่งไปกว่านั้นยังลงทุนตั้งวอร์รูม ตรึงกำลังเจ้าหน้าที่ 4 พันนาย เฮลิคอปเตอร์ 3 ลำ รถควบคุมผู้ต้องหาอีก 20 คัน
คุ้มค่าหรือเหมาะสมเพียงใด?
กลายเป็นคำถามว่า รัฐบาล หรือคสช. หวั่นไหวอะไรกับการเข้ามาให้กำลังใจของประชาชน
และการกระทำเหล่านี้เป็นผลดีอย่างไรกับรัฐบาลหรือคสช.
แต่ก็นั่นแหละ เมื่อฝ่ายมีอำนาจดำเนินการไปแล้ว คงป่วยการที่ จะทักท้วงหรือสงสัย
ประชาชนอย่างเราก็คงต้องทำใจและอดทน
จนกว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะคลี่คลาย