จากกรณีคนร้ายใช้ไม้เบสบอลทุบ นายวีรชาติ โอฬาพิริยกุล อายุ 62 ปี อดีตรองผู้ว่าการผลิตและส่งน้ำ การประปานครหลวง (กปน.) เสียชีวิตภายในตู้คอนเทนเนอร์ที่ดัดแปลงเป็นห้องทำงาน ภายในไซต์งานก่อสร้าง บริษัท เทรเชอร์ เอสเตท จำกัด ริมถนนหลวงแพ่ง แขวงทับยาว เขตลาดกระบัง กทม. เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.59 จากนั้นตำรวจได้ควบคุมตัว นายพัฒนะ กวี เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิศวกรที่ปรึกษา พี.เอช.2000 จำกัด ซึ่งตกเป็นผู้ต้องสงสัยได้

ล่าสุดวันที่ 14 มี.ค. นายไชยรัตน์ วัตรสังข์ ทนายความของนายพัฒนะ ได้ทำหนังสือชี้แจงว่า สำหรับคดีดังกล่าว ซึ่งได้รับการพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามกระบวนการยุติธรรมแล้ว โดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์ นางนิตยา โอฬาพิริยกุล, นายสัณห์ โอฬาพิริยกุล, นางสาวนลิน โอฬาพิริยกุล โจทก์ร่วมทั้งสาม ได้ยื่นฟ้องนายพัฒนะ กับพวกรวม 2 คน เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดมีนบุรี ซึ่งศาลจังหวัดมีนบุรี ได้พิพากษายกฟ้อง

ต่อมาโจทก์- โจทก์ร่วมได้อุทธรณ์คำพิพากษา และศาลอุทธรณ์ ได้มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสองเช่นเดียวกัน จึงเป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างชัดแจ้งว่านายพัฒนะ กับพวกรวม 2 คน มิได้กระทำความผิด คดีนี้

สำหรับคดีดังกล่าวศาลอุทธรณ์ ได้พิพากษายกฟ้องเนื่องจาก วันเกิดเหตุมีผู้ไปพบศพครั้งแรกเวลา 09.00 น. ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเสียชีวิตเวลาประมาณ 08.45 น.-09.00 น. และหลังเกิดเหตุเวลาประมาณ 11.00 น. วันเดียวกัน นายพัฒนะ ได้ขึ้นรถตู้เดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิเพื่องไป จ.เชียงใหม่ โดยนายสมหมาย คนงานชาวกัมพูชา ซึ่งเป็นพยาน ระบุว่าเห็ยนายพัฒนะ กับผู้ตายทะเลาะกันเวลา 07.50 น. แต่ นายรุ่งเรื่อง มากมูล รปภ.ของโครงการระบุว่า ผู้ตายเดินทางมาถึงพื้นที่โครงการเวลา 08.30 น. จึงเป็นข้อพิรุธว่าทั้ง 2 คนทะเลาะกันจริงหรือไม่

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

ส่วนที่ นายรุ่งเรือง ระบุว่าเห็นคนขับรถตู้ของนายพัฒนะ ใช้กล้องส่องทางไกลส่องดูบริเวณหน้าตู้ที่ 1 กับตู้ที่ 2 แสดงว่าคนขับรถต้องยืนอยู่ด้านซ้ายของรถตู้ที่ขับมาจอดหันหัวเข้าหาตู้ เมื่อพิจารณาขนาดของรถตู้เห็นได้ว่ามีขนาดใหญ่และสูงกว่ารถเก๋งทั่วไปมาก ประกอบกับรถตู้ติดฟิล์มกรองแสงด้วย จึงไม่เชื่อว่านายรุ่งเรือง ที่ยืนอยู่ที่ป้อมยามห่างไป 30 เมตร จะรู้และเห็นเหตุการณ์ที่คนขับรถตู้ใช้กล้องส่องทางไกล

ซึ่งหลังเกิดเหตุแม้พนักงานสอบสวนจะรวบรวมพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์อันได้แก่ การเก็บตัวอย่างลายนิ้วมือ ลายมือ ลายเท้า คราบเลือด สารคัดหลั่งของผู้ที่เกี่ยวข้องในที่เกิดเหตุ เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และรถตู้ของนายพัฒนะ แต่ไม่มีรายงานชิ้นใดที่ปรากฎผลเชื่อมโยงว่าทั้ง 2 คน เป็นคนร้าย

สำหรับที่นายพัฒนะ ได้ขึ้นรถตู้ออกจากที่เกิดเหตุไปสนามบินสุวรรณภูมินั้น ทั้งที่เพิ่งเกิดเหตุฆ่ากันตายในที่เกิดเหตุนั้น เห็นว่า นายสันห์พิชญ์ พบการตายเป็นคนแรกเมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. แต่ทางนำสืบของโจทก์ โจทก์ร่วมทั้ง 3 คน และจำเลยทั้ง 2 คนได้ความตรงกันว่า จำเลยทั้ง 2 คนออกจากที่เกิดเหตุเวลาประมาณ 11.00 น. ซึ่งหากจำเลยทั้ง 2 คน เป็นคนร้ายเมื่อเกิดเหตุร้ายเช่นนี้ควรมีความตื่นตระหนกและรีบหนีออกจากที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุด แต่จำเลยทั้ง 2 คนก็ยังอยู่ที่เกิดเหตุอีกประมาณ 2 ชั่วโมง

นอกจากนี้นายพัฒนะ ยังได้จองตั๋วเครื่องบินไว้ตั้งแต่วันที่ 14 มิ.ย.59 ซึ่งเครื่องจะออกจาก กทม.วันที่ 16 มี.ย. เวลา 13.10 น. การออกเดินทางจากที่เกิดเหตุในเช่นนี้จึงไม่เป็นพิรุธ ทำให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องตามศาลชั้นต้นดังกล่าว เฉพาะโจทก์ร่วมทั้งสามเท่านั้นที่ได้ยื่นฎีกาคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ส่วนพนักงานอัยการ โจทก์ มิได้ยื่นฎีกาแต่อย่างใด คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ซึ่งหากศาลฎีกามีคำพิพากษาออกมาเช่นไร ทุกฝ่ายต้องเคารพและปฏิบัติตามโดยมิอิดเอื้อน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน