วันที่ 22 ก.ค. กรณีที่มีการเผยแพร่ในโลกออนไลน์ว่าชายอ้างเป็นตำรวจ มาจับลิขสิทธิและให้เสียค่าปรับกว่า 3 หมื่นบาท ที่เกิดเหตุเป็นร้านขายกระเป๋าและรองเท้า บริเวณ ม.3 ต.บ้านฉาง อ.บ้านฉาง จ.ระยอง น.ส.ลลดา เอนกพงษ์ อายุ 30 ปี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 ก.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่นายสมเดช เอนกพงษ์ อายุ 65 ปี บิดา ที่กำลังขายของอยู่ภายในร้านได้ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวน 5 คน ทำทีมาเลือกซื้อของ แล้วจู่ๆก็หยิบเอากระเป๋าลวดลายการ์ตูน ราคาขายใบละ 30 บาท บอกว่าละเมิดลิขสิทธิ์มีความผิดฐานปลอมแปลง ซึ่งต้องถูกปรับเป็นเงิน 4 แสนบาท เมื่อทางบิดาที่อยู่ลำพังกับมารดาก็เกิดความกลัว เพราะไม่รู้ว่ากระเป๋าที่มีคนนำมาส่งให้ขายจะผิด เพราะขายมาร่วม 30 ปี ไม่เคยถูกจับ

ด้วยความกลัวจึงถามว่ามาจากไหนมีบัตรประจำตัวและหมายค้นหรือเปล่า หนึ่งในชายฉกรรจ์บอกว่า เป็นตำรวจอยู่ที่ภาค 2 ไม่จำเป็นต้องมีหมายค้น พร้อมทั้งนำบัตรประจำตัวให้ดูระบุชื่อ ร.ต.ท.สุธีย์ อัจฉริยะรัตน์ ตำรวจสายสืบภาค 2 หลังจากนั้นก็บอกว่าถ้าเสียค่าปรับเลยตอนนี้ คิดแค่ 30,000บาท ด้วยความกลัวว่าจะเสียเงินหลักแสนจึงยอมจ่าย โดยมีการนัดให้นำเงิน 3 หมื่นบาทไปจ่ายที่ สภ.บ้านฉาง แต่พอไปถึงกลับไม่ยอมให้เข้าไปจ่ายในสภ.บ้านฉาง แต่กลับให้ไปจ่ายภายในรถยนต์ที่จอดหน้าสภ.บ้านฉาง แล้วทั้งหมดก็บอกให้กลับไป

นอกจากนี้ร้านใกล้เคียงที่ขายกระเป๋าเหมือนกัน ก็ถูกชายฉกรรจ์อีกกลุ่มจำนวน 5 คน เข้าไปในร้านและหยิบเอากระเป๋าเป้สีแดงที่มีรูปการ์ตูนอยู่ด้านหน้า แล้วบอกว่าผิดกฎหมายลิขสิทธิ์ ต้องถูกดำเนินคดี ทำให้เกิดความกลัวจึงบอกว่าจะต้องทำอย่างไร หนึ่งในชายฉกรรจ์ก็บอกว่าถ้าเสียค่าปรับตอนนี้เสียแค่ 15,000บาท แต่ถ้าไม่ยอมขึ้นศาลต้องจ่ายเป็นแสน จึงทำให้ต้องยอมจ่ายไปเพราะความกลัว

น.ส.ลลดา กล่าวอีกว่า ตนเองต้องการให้ต้นสังกัดตรวจสอบว่า ร.ต.ท.สุธีร์ อัจฉริยะรัตน์ เป็นตำรวจจริงหรือไม่ และมีหน้าที่จับลิขสิทธิ์หรือไม่ และการปรับโดยไม่มีการลงบันทึกประจำวันและจ่ายในรถสามารถกระทำได้หรือไม่ ทางร้านก็ขายสินค้าดังกล่าวมานานแล้วทำไมถึงเพิ่งมาจับและข่มขู่ จึงต้องการให้มีการตรวจสอบ เพราะทางตนเองเตรียมปรึกษาทนายเพื่อเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เพื่อเป็นคดีตัวอย่าง และ หลังจากที่ตนเองได้โพสต์รูปและข้อความลงไปบนโลกออนไลน์ คนที่อ้างชื่อว่าเป็น ร.ต.ท.สุธีร์ อัจฉริยะรัตน์ ได้โทรศัพท์กลับมาที่บิดาของตนเองบอกว่า ให้ตนลบรูปและข้อความออกจากเพจทั้งหมด

ทำให้เชื่อว่าต้องทำกันเป็นขบวนการใหญ่ จึงต้องการให้มีการดำเนินการจนถึงที่สุด เพราะถือเป็นการกรรโชกทรัพย์ จึงต้องการสู้จนกว่าจะเปิดโปงขบวนการนี้ออกมา เพราะสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน โดยเฉพาะคนทำมาหากินที้ไม่รู้เรื่องกฎหมายที่ต้องเป็นเหยื่อเพราะถูกข่มขู่และแอบอ้างหรือเอาหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มาหากินในทางที่ผิด และ ต้องการให้ภาครัฐที่เกี่ยวข้องช่วยตรวจสอบ

ด้านนายมานิตย์ ฉางชูโต อายุ 71 ปี เจ้าร้าน ที่เสียเงิน 15,000บาท ให้กับกลุ่มชายฉกรรจ์ที่อ้างว่าเป็นตำรวจภาค กล่าวว่า ตนเองต้องการให้ตรวจสอบว่าเป็นตำรวจจริงหรือไม่ และ สามารถกระทำการข่มขู่เรียกเงินแบบนี้ได้ด้วยหรือ เพราะการกระทำเยี่ยงนี้ถือเป็นการกระทำของโจร เพราะถ้าผิดจริงตนก็ยอมรับผิดไม่ใช่มาข่มขู่กันแบบนี้ จึงขอความเป็นธรรมด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน