เมื่อวันที่ 22 ม.ค. บีบีซีรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา กล่าวโจมตีบรรดาสื่อมวลชนว่าไม่ได้รายงานข้อเท็จจริงในพิธีสาบานตน ที่กรุงวอชิงตัน กรณีที่สื่อระบุว่ามีผู้มาเข้าร่วมพิธีดังกล่าวประมาณ 250,000 คน โดยประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า ผู้มาเข้าร่วมงานนั้นมีท่วมท้นไปจนถึงอนุสรณ์จอร์จ วอชิงตัน ขัดแย้งกับภาพถ่ายทางอากาศที่เผยให้เห็นที่ว่างบริเวณด้านหลังจำนวนมาก ขณะที่โฆษกทำเนียบขาวคนใหม่กล่าวตอบโต้สื่อว่า จำนวนผู้ที่มาเข้าร่วมพิธีสาบานตนของประธานาธิบดีทรัมป์ ถือว่ามากที่สุดเท่าที่เคยพบเห็นมา แต่จากการเปรียบเทียบภาพถ่ายนั้นพบว่าจำนวนคนน้อยกว่าพิธีสาบานตนของอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา เมื่อปี 2552 และ 2556

 

ประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า ภาพทางโทรทัศน์และภาพนิ่งในพิธีสาบานตนนั้นมีความคลาดเคลื่อน เพราะตนคิดว่ามีผู้คนท่วมท้นกว่า 1.5 ล้านคน ต่อมานายชอน สไปเซอร์ โฆษกทำเนียบขาวคนใหม่ เปิดแถลงข่าวครั้งแรกด้วยการตำหนิสื่อว่าความพยายามของสื่อที่ต้องการดิสเครดิตประธานาธิบดีทรัมป์เป็นสิ่งผิดและน่าละอายใจ

 

นายสไปเซอร์กล่าวเชิงเตือนกับผู้สื่อข่าวทำเนียบขาวด้วยว่า รัฐบาลในยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ถือว่าสื่อจะต้องรับผิดชอบกับการรายงานข่าวด้วย สร้างความกังวลให้บรรดาสื่อ และนักวิเคราะห์ที่ตั้งคำถามว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์มุ่งโจมตีอะไรกันแน่ระหว่าง ผู้สื่อข่าวŽ หรือ รายงานข่าวŽ

AFP PHOTO / Andrew CABALLERO-REYNOLDS

วันเดียวกัน เอเอฟพีรายงานว่ากลุ่มสิทธิสตรีที่ประท้วงต่อต้านประธานาธิบดีทรัมป์ ทั่วเมืองใหญ่ในสหรัฐ อาทิ กรุงวอชิงตัน นครลอสแองเจเลิส นิวยอร์ก ชิคาโก ซานฟรานซิสโก เซนต์ลูอิส บอสตัน และเดนเวอร์ มีจำนวนผู้เข้าร่วมมากกว่า 2 ล้านคน โดยที่กรุงวอชิงตันมีผู้เข้าร่วมกว่า 1 ล้านคน ถือเป็นการเดินขบวนประท้วงขนาดใหญ่ที่สุดหลังประธานาธิบดีทรัมป์เพิ่งนั่งในตำแหน่งได้วันเดียว ซึ่งจำนวนดังกล่าวมากกว่าเป็น 2 เท่าของที่คาดไว้ ทั้งยังมีการจัดการชุมนุมพร้อมกันอีกกว่า 600 แห่งทั่วโลก เช่น กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย และในอีกกว่า 20 เมืองทั่วประเทศแคนาดา เพื่อต่อต้านนโยบายแบ่งแยกสตรี ผู้อพยพ และกลุ่มคนชายขอบในสังคม ของประธานาธิบดีทรัมป์
สำหรับภารกิจในวันแรกนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์เดินทางไปเข้าโบสถ์วันอาทิตย์ และไปตรวจเยี่ยมสำนักงานข่าวกรองกลาง หรือซีไอเอ โดยย้ำกับเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ว่าตนรักและเคารพเจ้าหน้าที่ทุกคน รวมทั้งตนสนับสนุนซีไอเอ 1,000 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่ก่อนหน้าประธานาธิบดีทรัมป์เคยโจมตีซีไอเอว่าทำตัวเหมือนพรรคเยอรมันนาซีด้วยการปล่อยข่าวที่ตนเกี่ยวโยงกับรัสเซีย และสรุปรายงานที่ว่ารัสเซียมีส่วนแทรกแซงการเลือกตั้งสนับสนุนให้ประธานาธิบดีทรัมป์ชนะ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน