เมื่อ 22 ก.ย. เว็บไซต์ฮัฟโพสต์รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์แถวหน้าของโลก 375 คน จากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐอเมริกา (เอ็นเอเอส) 375 คน รวมถึง สตีเฟ่น ฮอว์กิง นักฟิสิกส์ทฤษฎีชื่อดังแห่งยุค ศาสตราจารย์อี.โอ. วิลสัน ผู้ขึ้นชื่อเป็นบิดาแห่งความหลากหลายทางชีวภาพ และเจ้าของรางวัลโนเบิลสาขาต่างๆ อีก 30 คน ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกที่กล่าวในเชิงเปรียบเทียบว่า การเลือกนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้แทนพรรครีพับลิกัน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนต่อไป จะส่งผลกระทบต่อความพยายามในการลดวิกฤตการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
ทรัมป์หาเสียงที่โอไฮโอ AP
แม้จดหมายฉบับดังกล่าวไม่ได้ระบุชื่อของนายทรัมป์โดยตรง แต่หยิบยกสิ่งที่นายทรัมป์เคยพูดก่อนหน้านี้ว่า ภาวะโลกร้อนเป็นเพียงเรื่องหลอกลวงที่จีนแต่งขึ้นเพื่อประโยชน์ของจีนเอง พร้อมประกาศว่าจะยกเลิกข้อตกลงที่ประเทศต่างๆ กว่า 170 ประเทศร่วมลงนามลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และยับยั้งวิกฤตโลกร้อน เมื่อเดือนเม.ย. ต่อเนื่องจากการบรรลุความเห็นชอบในที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP 21 กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปลายปี 2558
ข้อความบางส่วนในจดหมายของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ระบุว่า สภาพอากาศซึ่งเปลี่ยนแปลงเพราะมนุษย์เป็นผู้ก่อขึ้น ไม่ใช่ความเชื่อ เรื่องโกหกหลอกลวง หรือการสมคบคิด แต่เป็นความจริงที่เกิดขึ้น
ไม่ว่า เชื้อเพลิงจากฟอสซิลที่เป็นแหล่งพลังงานของการปฏิวัติอุตสาหกรรม การเผาผลาญน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซ เป็นสาเหตุส่วนมากที่ทำให้ระดับก๊าซเรือนกระจกเพิ่มครั้งเป็นประวัติการณ์ และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศของโลก
โรงงานในทาโคมา รัฐวอชิงตัน สหรัฐ ปล่อยก๊าซ (AP Photo/Ted S. Warren, file)
ร่องรอยที่มนุษย์กระทำต่อระบบสภาพอากาศเป็นสิ่งที่ชัดเจน และเกิดขึ้นทุกที่ ทั้งมหาสมุทรที่มีอุ่นขึ้น อุณหภูมิพื้นผิวดิน และการลดลงของชั้นบรรยากาศ
สิ่งที่มนุษย์ทำไว้ไม่ได้เกิดในทวีปขั้วโลกเหนือที่ห่างไกลเท่านั้น แต่เกิดขึ้นที่นี่และตอนนี้ในประเทศของเรา รัฐของเรา และชุมชนของเรา
ข้อความสนับสนุนวิธีการลดโลกร้อนปรากฏที่หอไอเฟล กรุงปารีส เมื่อปีก่อน (AP Photo/Thibault Camus, File)
ช่วงการรณรงค์หาเสียงในศึกหยั่งเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี มีบุคคลพูดว่าโลกไม่ได้อุ่นขึ้น หรือต้นเหตุที่อุณหภูมิอุ่นขึ้นเป็นเพราะปัจจัยทางธรรมชาติซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของมนุษย์ การกล่าวอ้างดังกล่าวถือได้ว่าขัดแย้งกับความเป็นจริง ขณะที่บางคนโต้เถียงว่าจนกว่าจะพิสูจน์ชี้ชัด เราไม่สามารถระบุได้ว่าการกระทำของมนุษย์เป็นต้นตอของภาวะโลกร้อน
แต่เราเชื่อมั่นเหนือข้อสงสัยใดๆ ว่าวิกฤตสภาพอากาศที่เกิดขึ้นโดยมนุษย์เป็นข้อเท็จจริง ร้ายแรง และก่อให้เกิดความเสี่ยงน่าวิตก ตั้งแต่ความสามารถในการสร้างอนาคตที่ดีกว่าเรื่อยไปจนถึงความมั่นคงของประเทศ สุขภาพของมนุษย์ถึงการผลิตอาหาร และการเชื่อมโยงกันของระบบชีวิต
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์พื้นฐานเกี่ยวกับก๊าซเรือนกระจกที่เป็นตัวดักความร้อนนั้นชัดเจน และเป็นเช่นนี้มานานกว่าศตวรรษ หลักการทางวิทยาศาสตร์ที่กล่าวถึงทำให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ ทั่วโลกมารวมตัวกันที่กรุงปารีสเมื่อเดือนธ.ค.2558 แม้จะมีระบบจัดการกับปัญหาก๊าซเรือนกระจกที่แตกต่างกัน แต่ผู้นำกว่า 190 ประเทศ ยอมรับแล้วว่าปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากมนุษย์ เป็นภัยคุกคามต่อปัจจุบันและอนาคตของโลก
ผู้นำนานาประเทศให้คำมั่นสัญญาในภาระผูกพันแห่งชาติเพื่อแก้ไขปัญหานี้ แม้จะเริ่มจากสิ่งเล็กๆ แต่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และก้าวแรกของการทำความเข้าใจการดูแลรักษาระบบสภาพอากาศของโลก
จากการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ทำให้พบว่าระบบดังกล่าวมีจุดพลิกผัน ระบบการเมืองก็เช่นเดียวกัน นับได้ว่าเป็นสิ่งซึ่งทำให้เกิดความวิตกังวลอย่างมาก หลังจากผู้แทนพรรครีพับลิกันสนับสนุนให้สหรัฐถอนตัวจากข้อตกลงกรุงปารีส “ปาร์เอ็กซิต” หรือ ปารีสเอ็กซิต
ตามนโยบายของนายทรัมป์ จะส่งสัญญาณชัดเจนไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ว่า สหรัฐไม่สนใจปัญหาที่เกิดขึ้นกับโลก รวมทั้งสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะฝีมือของมนุษย์ ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะส่งผลเสียร้ายแรงในระยะยาวต่อทั้งโลก และความน่าเชื่อถือของสหรัฐ
สหรัฐควรและต้องเป็นหลักที่จะพัฒนาวิธีแก้ปัญหาซึ่งสร้างสรรค์เพื่อลดวิกฤตการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประเทศใดก็ตามที่มีแนวทางการแก้ปัญหาใหม่ๆ ของระบบพลังงานที่ไม่ทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ จะกลายเป็นชาติผู้นำทางเศรษฐกิจของศตวรรษที่ 21
การออกจากข้อตกลงกรุงปารีสทำให้สหรัฐไม่น่าจะอยู่ในบทบาทของผู้นำระดับโลก เช่นเดียวกับความเป็นผู้นำทางการเมืองเศรษฐกิจ รวมถึงด้านศีลธรรมจรรยาด้วย
