เอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 21 พ.ค.ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กล่าวสุนทรพจน์ 30 นาที ขอความร่วมมือจากชาติอาหรับและชาติมุสลิมในการต่อต้านผู้ก่อการร้ายของลัทธิสุดโต่ง ในการสู้รบระหว่างความดีกับความชั่ว
ในงานประชุมสุดยอดอเมริกัน อิสลาม อาหรับ ที่ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย นายทรัมป์กล่าวหลายประโยคที่โจมตีอิหร่าน มหาอำนาจนิกายชีอะห์ คู่อริของซาอุดีอาระเบีย นิกายสุหนี่ อย่างรุนแรง ว่าเป็นฝ่ายส่งเสริมการก่อการร้ายและความขัดแย้ง
“จนกว่าระบอบอิหร่านจะหันมาเป็นพันธมิตรกับสันติภาพ ทุกประเทศที่มีสติรับรู้ต้องร่วมมือกันโดดเดี่ยวระบอบนี้ และสวดภาวนาว่าในวันหนึ่งชาวอิหร่านจะมีรัฐบาลที่เหมาะสมตามที่สมควรจะได้รับ” นายทรัมป์กล่าว หลังโจมตีว่าอิหร่านอยู่เบื้องหลังการฝึกกองกำลังติดอาวุธในซีเรีย เยเมน และอิรัก
ถ้อยคำของนายทรัมป์สอดคล้องกับสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมานแห่งซาอุดีอาระเบีย ที่กล่าวหาว่าอิหร่านเป็นผู้ส่งออกกลุ่มเคลื่อนไหวสุดโต่งไปปั่นป่วนทั่วโลก นับตั้งแต่เกิดการปฏิวัติอิหร่านโดยอยาตอลเลาะห์ โคมัยนี ในปี 2522 สำหรับซาอุดีอาระเบียตัดสินใจแน่วแน่ที่จะกวาดล้างกองกำลังไอเอส ที่เป็นองค์การของนิกายสุหนี่
ในที่ประชุมที่ซาอุดีอาระเบีย ผู้นำประเทศมุสลิมจากบาห์เรน คูเวต โอมาน กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มาเลเซีย นายทรัมป์กล่าวไปถึงชาติที่มีชาวมุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ 50 ประเทศ ให้ร่วมมือกันกวาดล้างผู้ก่อการร้ายออกไปจากดินแดนที่เคารพบูชาของแต่ละประเทศ
“นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอาชญากรป่าเถื่อนที่หาทางทำลายชีวิตมนุษย์ กับผู้คนของทุกศาสนาที่หาทางจะปกป้องศรัทธา เป็นการต่อสู้ระหว่างความดีกับความชั่ว” นายทรัมป์กล่าวและว่า “ชาติตะวันออกกลางทั้งหลายจะต้องตัดสินใจอนาคตที่ต้องการด้วยตัวของพวกเขา เพื่อประเทศของพวกเขา ลูกๆ ของพวกเขา”
รายงานตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลนายทรัมป์ไม่ได้เอ่ยถึงสิทธิมนุษยชนระหว่างที่เยือนครั้งนี้ อีกทั้งยังพูดคุยอย่างชื่นมื่นกับนายพลอับเดล ฟัตตาห์ อัล-ซิซี ประธานาธิบดีอียิปต์ที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนตั้งแต่เป็นผู้นำรัฐประหารจนถึงปัจจุบัน