วันที่ 9 ต.ค. เอเอฟพีรายงานว่า คณะกรรมการโนเบลสาขาสันติภาพ ประเทศนอร์เวย์ ประกาศมอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี 2559 แก่ประธานาธิบดีฆวน มานูเอล ซานโตส ผู้นำโคลัมเบีย จากผลงานสร้างแผนสันติภาพ ยุติความขัดแย้งนองเลือดกับกองกำลังติดอาวุธเพื่อการปฏิวัติแห่งโคลัมเบีย หรือฟาร์ก ซึ่งยืดเยื้อมากว่า 52 ปี คร่าชีวิตผู้คนอย่างน้อย 220,000 ราย และอีกกว่า 6 ล้านคนต้องอพยพหนีตายกลายเป็นผู้ไร้บ้าน
นายซานโตสถือเป็นผู้นำประเทศคนที่ 15 ที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้
นักวิชาการและนักวิเคราะห์หลายฝ่ายคาดการว่า นายซานโตส รวมถึงนายติโมลีออน จิเมเนซ ผู้นำฟาร์ก น่าจะได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพในปีนี้ เนื่องจากสามารถยุติสงครามกลางเมืองที่ยาวนานลงได้ด้วยสันติวิธี แต่เพราะประชามติสนับสนุนข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัฐบาลกับฟาร์ก เมื่อ 2 ต.ค. ล้มเหลว คะแนนประชามติอันเฉียดฉิวออกมาว่า ประชาชนร้อยละ 50.2 ไม่เห็นด้วย
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการโนเบลนอร์เวย์มองว่า ผลประชามติไม่เห็นด้วย ไม่ได้หมายความว่ากระบวนการสันติภาพจะสิ้นสุดลง ที่สำคัญผู้นำซานโตส และนายจิเมเนซต่างแถลงยืนยันว่าจะเดินหน้าสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในโคลัมเบียอย่างเต็มความสามารถ
ทั้งนี้ ผู้เข้าชิงโนเบลสันติภาพปี 2559 มีมากถึง 376 รายชื่อ แบ่งเป็นบุคคล 228 คน และกลุ่มบุคคล หรือองค์กร อีก 148 กลุ่ม ถือว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ประกาศรางวัลโนเบลในปี 2444 หรือเมื่อ 115 ปีก่อน
มีตัวเต็งติดโผ อาทิ ชาวกรีกซึ่งอาศัยอยู่ตามเกาะต่างๆ ของประเทศ โดยเฉพาะเกาะเลสบอสที่เปิดบ้านต้อนรับผู้ลี้ภัยกว่า 800,000 คนในปี 2558 นางแองเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กับนโยบายช่วยเหลือผู้ลี้ภัยจนได้ฉายาว่าเป็น “นางฟ้า”
ขณะที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส องค์ประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก ซึ่งถูกคาดการว่าเข้าชิงมาแล้วหลายครั้ง ยังคงติดโผด้วยวิสัยทัศน์ที่เปิดกว้างเกี่ยวกับกลุ่มเพศทางเลือก ทั้งยังเป็นผู้ประสานการเจรจาฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและคิวบาจนประสบความสำเร็จเมื่อปลายปีก่อน