เมื่อวันที่ 16 ส.ค. เอเอฟพีรายงานว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ปล่อยวาทะเรียกกระแสวิพากษ์วิจารณ์ครั้งใหญ่อีกครั้งจากคนแทบทุกวงการ เมื่อยืนกรานประณามเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเมืองชาร์ล็อตส์วิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย ถึงขั้นมีผู้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 12 ส.ค. ว่าสาเหตุนองเลือดมาจากทั้งสองฝ่าย หลังจากนายทรัมป์ถูกครหาว่าไม่พูดจาตำหนิกลุ่มคลั่งชาติผิวขาว นีโอนาซี อย่างชัดเจนตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ใหม่ๆ เพราะเป็นฐานเสียงของตัวเอง
“ผมคิดว่าต้องตำหนิทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ คุณมีคนกลุ่มหนึ่งในฝั่งหนึ่งที่แย่ แล้วคุณก็มีคนอีกกลุ่มที่มักแสดงออกรุนแรงมาก เรื่องนี้อาจจะไม่มีใครอยากพูด แต่ผมต้องพูดตอนนี้แล้ว พวกซ้ายจัดมากระตุ้นพวกขวาจัด พวกนั้นไม่รู้สึกผิดบ้างหรือไง มันมีสองมุมในเรื่องเดียวกันนะ” นายทรัมป์กล่าวอย่างฉุนเฉียวระหว่างตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ตึกทรัมป์ทาวเวอร์ในนครนิวยอร์ก
ทรัมป์แถลงข่าว (AP Photo/Pablo Martinez Monsivais)
หลังสื่อนำเสนอความเห็นล่าสุดของนายทรัมป์ออกไป ก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากบุคคลในแวดวงต่างๆ อีกครั้งเพราะถือว่านายทรัมป์พูดเหมารวม เอาคนที่ต่อต้านการเหยียดผิวว่าผิดพอๆ กับกลุ่มสร้างความเกลียดชังได้อย่างไร
ยกเว้นนายเดวิด ดุ๊ก แกนนำกลุ่มคูคลักซ์แคลน ทวีตข้อความว่า “ขอบคุณประธานาธิบดีทรัมป์สำหรับความซื่อสัตย์และกล้าหาญของท่านที่พูดความจริงเกี่ยวกับชาร์ล็อตส์วิลล์ และประณามพวกผู้ก่อการร้ายฝ่ายซ้าย”
เหตุการณ์ความรุนแรงที่ชาร์ล็อตส์วิลล์สะท้อนความขัดแย้งรุนแรงในสังคมชาวอเมริกันระหว่างฝ่ายขวาจัดกับฝ่ายซ้าย ที่ต่างแสดงออกอย่างมีอารมณ์ต่อประวัติศาสตร์สงครามกลางเมือง
ขณะเดียวกัน มีปฏิกิริยาจากนายบารัก โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐที่ทวีตข้อความแสดงความเห็นต่อเหตุการณ์ที่ชาร์ล็อตส์วิลล์ ได้รับเสียงชื่นชมจนขึ้นแท่นเป็นทวีตที่มีคนกดไลก์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของทวิตเตอร์
ทวีตของโอบามา
ทวีตดังกล่าวเป็นภาพที่นายโอบามายิ้มให้เด็กๆ 4 คน สีผิวต่างๆ กัน มีคนรีทวีต หรือส่งต่อข้อความหรือแชร์ กว่า 1.1 ล้านครั้งและกดชอบ 2.723 ล้านครั้ง ในช่วงค่ำของวันอังคาร
ข้อความในทวีตยกคำพูดอมตะของนายเนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ผู้ล่วงลับ ว่า ”ไม่มีใครที่เกิดมาเกลียดชังคนอื่นเพราะสีผิว ภูมิหลังพื้นเพ ศาสนาของเขา คนเราต้องเรียนรู้ถึงจะเกลียดได้ และถ้าพวกเขารู้ที่จะเกลียดได้ พวกเขาก็ถูกสอนให้รักได้ สำหรับความรักแล้วเกิดขึ้นในใจของมนุษย์ได้ตามธรรมชาติมากกว่าด้านตรงข้ามของมัน”
