โจ ไบเดน – วันที่ 20 ม.ค. บีบีซี รายงานพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของ นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนที่ 46 และ นางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีคนที่ 49 ของสหรัฐอเมริกา ด้านนอกยูเอสแคปิตอล หรืออาคารรัฐสภา ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ตอนเที่ยงวันตามเวลาท้องถิ่น (00.00 น. วันที่ 21 ม.ค. ตามเวลาในไทย)
ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยหนาแน่นพิเศษด้วยทหารจำนวน 25,000 นาย หลังเหตุจลาจลที่ม็อบผู้สนับสนุน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บุกอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ขณะที่สักขีพยานจำนวนน้อยกว่าทุกครั้งเหมือนหลายปีที่ผ่านมาเนื่องด้วยการระบาดใหญ่ของโควิด-19
แขกผู้เข้าร่วมพิธีรวมถึงบรรดาอดีตประธานาธิบดีและสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งสหรัฐ ได้แก่ นายบิล-นางฮิลลารี คลินตัน นายบารัก-นางมิเชล โอบามา และ นายจอร์จ-นางลอรา บุช
นอกจากนี้ นายไมก์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐที่กำลังจะหมดวาระ เข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของนายไบเดน แทนการเข้าร่วมพิธีอำลาประธานาธิบดีทรัมป์ที่ฐานทัพแอนดรูวส์ รัฐแมริแลนด์ ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างทางกลับบ้านที่รัฐฟลอริดา
ในพิธีดังกล่าว นางแฮร์ริสกล่าวสาบานตนก่อนในฐานะรองประธานาธิบดีหญิงแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกของสหรัฐ ต่อหน้า นางซอนยา ซโตเมิยอร์ ตุลาการศาลสูงสุด ผู้สร้างประวัติศาสตร์ในฐานะตุลาการสูงสุดคนแรกของสหรัฐที่เป็นชาวละตินอเมริกา เมื่อปี 2552
จากนั้น นายไบเดนกล่าวสาบานตนต่อหน้า นายจอห์น โรเบิร์ตส์ หัวหน้าตุลาการศาลสูงสุดสหรัฐ และกล่าวสุนทรพจน์ครั้งแรกในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐว่า
“นี่คือวันของอเมริกา นี่คือวันของประชาธิปไตย วันแห่งประวัติศาสตร์และความหวัง อเมริกาถูกทดสอบและก้าวขึ้นสู่ความท้าทายผ่านเบ้าหลอมมาหลายยุคหลายสมัย วันนี้เราเฉลิมฉลองชัยชนะที่ไม่ใช่ของผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่เป็นฉลองผลแห่งประชาธิปไตย”
ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวถึงเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาว่า “เราเรียนรู้อีกครั้งว่า ประชาธิปไตยมีค่า ประชาธิปไตยเปราะบาง และตอนนี้เหล่าเพื่อนของผมและประชาธิปไตยมีชัยชนะแล้ว
“ตอนนี้บนผืนดินศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ความรุนแรงพยายามสั่นคลอนรากฐานสำคัญของหน่วยงานรัฐ เรามารวมกันเป็นชาติเดียวภายใต้พระเจ้าและแบ่งแยกไม่ได้ เพื่อถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติอย่างที่เรามีมานานกว่าสองร้อยปี”
ประธานาธิบดีไบเดนยังขอบคุณอดีตประธานาธิบดีจากทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันที่เข้าร่วมพิธีในวันนี้ และกล่าวว่าตนพูดคุยกับ อดีตประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ วัย 96 ปี ทางโทรศัพท์และแสดงความเคารพที่ทำงานเพื่อชาติมาตลอดชีวิต
ในส่วนของความท้าทายที่รัฐบาลใหม่จะต้องรับมือ รวมถึงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และแนวคิดชาตินิยมผิวขาวที่กำลังเพิ่มขึ้น ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวว่า ตนจะเผชิญหน้าและเราจะเอาชนะอุปสรรคแต่ละอย่าง และจะฟื้นฟูจิตวิญญาณแห่งอนาคตอเมริกา แต่ต้องการการกระทำมากกว่าคำพูด ความสามัคคีเป็นสิ่งที่ต้องการและเข้าใจยากที่สุดในระบอบประชาธิปไตย
ประธานาธิบดีไบเดนอ้างถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สหรัฐ เช่น สงครามกลางเมือง ระบุว่า “พลัง (แนวคิดชาตินิยมผิวขาว) ที่แบ่งแยกเราฝังลึกและเป็นความจริงแต่ไม่ใช่เรื่องใหม่ การต่อสู้ยืดเยื้อและไม่มีทางรับประกันชัยชนะได้ เทวดาที่ดีกว่าของเรามีชัยเสมอ ประวัติศาสตร์ ความเชื่อ และเหตุผลแสดงถึงวิถีแห่งความสามัคคี”
ประธานาธิบดีไบเดนยังเรียกร้องการเคารพร่วมกันในสังคมมากขึ้น กล่าวว่าความสามัคคีจำเป็นสำหรับความยิ่งใหญ่ของคนอเมริกัน “หยุดตะโกนด่าทอและลดความดุเดือดกัน หากไร้ความสามัคคีจะไม่มีสันติภาพ สามัคคีคือหนทางข้างหน้า และเราต้องพบช่วงเวลานี้เป็นสหรัฐอเมริกา”
ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวถึงรองประธานาธิบดีแฮร์ริสว่า “ที่นี่เมื่อ 108 ปีก่อน ผู้ประท้วงหลายพันคนพยายามขัดขวางผู้หญิงผู้กล้าหาญที่เดินขบวนเพื่อสิทธิการเลือกตั้ง วันนี้เราถือเป็นการสาบานของผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์อเมริกาที่ได้รับเลือกดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี นั่นคือ กมลา แฮร์ริส อย่าบอกผมว่าไม่มีอะไรสามารถเปลี่ยนแปลงได้”
จากนั้น ขอให้แขกผู้เข้าร่วมพิธีสงบนิ่งเพื่ออาลัยผู้เคราะห์ร้ายที่จากไปด้วยโควิด-19
ประธานาธิบดีไบเดนตั้งคำถามถึงสิ่งทั่วไปที่คนอเมริกันชื่นชอบ ได้แก่ โอกาส ความปลอดภัย เสรีภาพ ศักดิ์ศรี ความเคารพ การให้เกียรติ และความจริง พร้อมกล่าวถึงกรณีที่ประธานาธิบดีทรัมป์และกลุ่มผู้สนับสนุนกล่าวหาโดยไร้หลักฐานว่านายไบเดนเป็นผู้ขโมยชัยชนะของประธานาธิบดีทรัมป์ไป เป็นบทเรียนที่สอนคนอเมริกันว่า
“มีความจริงและคำโกหก คำโกหกเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ เราต้องยุติสงครามกลางเมืองระหว่างสีแดง (พรรครีพับลิกัน) กับสีน้ำเงิน (พรรคเดโมแครต)” และว่า “ทางออกคือไม่หันหลังกัน ไม่ระแวงคนที่ไม่เหมือนคุณ หรือไม่บูชาแนวทางที่คุณเชื่อ หรือไม่ได้รับข่าวสารจากแหล่งเดียวกับที่คุณได้”
ประธานาธิบดีไบเดนปิดการปราศรัยในประเด็นความสามัคคีของคนอเมริกันว่า “ฉะนั้น ด้วยจุดประสงค์และความตั้งใจ เราจึงหันมารับผิดชอบภารกิจเหล่านี้ในวาระการดำรงตำแหน่งของเรา”