วันที่ 12 ธ.ค. เว็บไซต์ ดิ อินดิเพนเดนต์ รายงานเรื่องราวอันสะเทือนใจของหญิงชาวมุสลิมโรฮิงยาหลายชีวิตในค่ายผู้อพยพฝั่งประเทศบังกลาเทศ จากการถูกทหารเมียนมาปราบปราม เผยถึงความทารุณเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมว่า ถูกทหารเมียนมาข่มขืนและทรมานให้เจ็บปวด รวมถึงสังหารคนใกล้ชิด ท่ามกลางผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงยาที่หนีตายจากรัฐยะไข่ของพม่าไปยังบังกลาเทศแล้วกว่า 600,000 คน

เริ่มจาก ซูนัวรา อายุ 25 ปี หลังหมู่บ้านที่อาศัยอยู่ถูกเผาเมื่อ 25 ส.ค. ก่อนต้องหนีเอาชีวิตรอด ซูนัวราเคยมีชีวิตที่ดี เป็นเจ้าของวัว รถยนต์ และนาข้าว กระทั่งวันที่ 25 ส.ค. ขณะที่สามี ลูกไม่อยู่บ้าน ทหารมาที่บ้าน ยิงลูกชายอีกคนที่ท้องต่อหน้าต่อตา แล้วทหารตัดศีรษะลูกชาย

ซูนัวรา (Getty Images/Allison Joyce)

ซูนัวราตั้งท้องแปดเดือนในขณะนั้น หญิงสาวถูกมัดกับเตียงนอนและถูกชาย 9 คนข่มขืนเป็นเวลา 6 ชั่วโมง จนหมดสติ ตอนฟื้นขึ้นมาสามีและพี่น้องจึงพาอพยพไปประเทศบังกลาเทศ และคลอดลูกที่โรงพยาบาล แต่เด็กตายในวันต่อมา

ด้านน.ส.โรชิดา เบกุม อายุ 22 ปี หนีจากหมู่บ้านมาเมื่อสิ้นเดือนส.ค.เช่นกัน หญิงสาวกล่าวหาว่าทหารใช้ระเบิดเพลิงเผาหมู่บ้านที่อาศัยอยู่และวางเพลิงบ้านหลายหลัง ยิงใครก็ตามที่เห็นที่จุดเกิดเหตุ โรชิดาพยายามซ่อนที่ฝั่งแม่น้ำพร้อมกับคนอื่นๆ ด้วย แต่ทหารหาพบ สามีว่ายน้ำและหนีไปได้

โรชิดา (Getty Images/Allison Joyce)

เธอเล่าว่าเห็นภาพทหารยิงเด็กหนุ่ม โยนทารก และเด็กๆลงในแม่น้ำ และว่าทหารถอดเครื่องประดับออกจากตัวผู้หญิง บังคับให้ยกเข่าขึ้นถึงคออยู่ในสระน้ำ ตอนนั้นจำได้ว่าเฮลิคอปเตอร์บินวนอยู่เหนือหัว

จากนั้นทหารพากลุ่มผู้หญิงสี่หรือห้าคนเข้าบ้านและข่มขืน ซึ่งรวมถึงเธอด้วย ขณะที่ลูกอายุเพียง 25 วัน ถูกโยนทิ้งลงพื้นและฆ่าทิ้ง

หลังจากนั้น ทหารก็เชือดคอหญิงสาวด้วยมีดสปาร์ตาและเผาบ้านทิ้ง ส่วนโรชิดารอดมาได้และหนีไป ซ่อนตัวในนาข้าวจนเจอหญิงสาวอีกคนโดยบังเอิญและก็พากันข้ามแม่น้ำไปด้วยกัน

ชาวโรฮิงยาอพยพไม่ขาดสาย

สามีโรชิดาพบกับโรชิดาในคลินิกของแพทย์ไร้พรมแดน และย้ายไปที่ค่ายลี้ภัยในประเทศบังกลาเทศด้วยกัน โรชิดาเผยว่าตอนที่ทหารปราบปรามได้สูญเสียสมาชิกครอบครัว 17 ราย รวมถึงพ่อ แม่ พี่น้องด้วย

“ในบังกลาเทศ บางครั้งฉันก็มีความสุข พอเห็นผู้เฒ่าผู้แก่ก็ทำให้คิดถึงพ่อ หรือเห็นผู้หญิงอยู่กับทารก ก็ทำให้ฉันคิดถึงลูกชาย” โรชิดากล่าวและได้เผยให้เห็นแผลเป็นจากการถูกทำร้ายที่ศีรษะ

“ฉันได้แต่ร้องไห้ ฉันต้องการความยุติธรรมจากโลก ทำไมพวกเขาถึงฆ่าแม่ ฆ่าพี่น้องของฉัน”

ด้าน น.ส.มุมตาซ เบกุม อายุ 30 ปี หนีมาจากหมู่บ้านเดียวกันกับโรชิดา เล่าว่าตนวิ่งหนีและซ่อน แต่สามีถูกยิง ตอนที่สามีบาดเจ็บจนใกล้ตาย สามีขอน้ำกับทหาร แต่ทหารกลับยิงซ้ำอีกครั้ง

ก่อนสิ้นใจ มุมตาซกล่าวกับสามีว่า “ฉันใช้ชีวิตอยู่กับคุณมาหลายปี หากทำอะไรผิดพลาดไป ให้อภัยฉันด้วยนะ”

มุมตาซ (Getty Images/Allison Joyce)

มุมตาซถูกทหารพาไปที่บ้านพร้อมกับเด็กๆ และข่มขืน เมื่อเด็กหวีดร้อง ทหารตีเด็กด้วยมีดสปาร์ต้า จากนั้นจึงจุดไฟเผาบ้าน แต่หนีรอดมาได้ มีแผลไฟไหม้รุนแรง

“ฉันต้องการความยุติธรรมและฉันต้องการบอกโลกทุกสิ่งทุกอย่างที่ทหารทำ” “พวกเขาข่มขืนและฆ่าพวกเรา” “ เราต้องการความยุติธรรม” หญิงสาวกล่าว

โรชิด จัน เป็นแม่อีกคนหนึ่งที่พาลูกๆ 5 คนเดินจากหมู่บ้านที่ถูกทหารเผาทำลาย ข้ามมายังบังกลาเทศโดยใช้เวลากว่า 10 วัน เมื่อเอ่ยถึงสามีที่ถูกจับหายไป หญิงสาวก็น้ำตาไหลพราก เพราะสามีถูกผู้นำศาสนาในหมู่บ้านพานสี กล่าวหาว่าเป็นสมาชิกกลุ่มติดอาวุธ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้ชะตากรรม

โรชิด จัน หญิงโรฮิงยาในค่ายผู้อพยพใกล้ค็อกซ์บาซาร์ ร้องไห้ออกมาเมื่อพูดถึงสามีที่พลัดพรากหายไป / REUTERS

ไอชา เบกุม น้ำตาไหลอาบแก้มเช่นกัน เมื่อพูดถึงสามีที่ประสบชะตาขาด ถูกทหารพม่าสังหาร ว่า “ฉันนั่งอยู่ตรงนั้น นั่งอยู่ข้างศพเขา ร้องไห้ ร้องไห้ และก็ร้องไห้ เขาถูกจับได้และถูกแทงตาย ร่างของเขากองอยู่บนถนน ถูกหั่นเป็นสามส่วน เธอทำอะไรไม่ได้ นอกจากพาลูก 2 คนหนีมาอยู่ในค่ายผู้อพยพที่บังกลาเทศ

Aisha Begum, a-19 year-old Rohingya refugee, holds her daughter and cries as she tells her story at the camp for widows and orphans inside the Balukhali camp near Cox’s Bazar, Bangladesh, December 5, 2017.

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน