ในสถานีรถไฟกลางของกรุงเบอร์ลิน มีผู้ลี้ภัยหลายพันคนทุกวัน ไม่ว่าจะชายหรือหญิงรวมทั้งเด็กที่หลบหนีออกจากสงครามในยูเครน และพวกเขาก็ได้รับการช่วยเหลือจากประชาชนเยอรมัน

 

หากผู้อพยพต้องการมุ่งหน้าต่อไปจากเยอรมัน จะได้รับตั๋วรถไฟฟรีเพื่อไปทุกที่ในยุโรป และหากใครที่ไม่รู้ว่าควรไปที่ไหน ก็จะได้รับการพาไปยังห้องโถงในสถานี สิ่งที่ผู้อพยพจะได้พบคือการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวเยอรมัน มีการแจกอาหารและเครื่องดื่มพร้อมกับซิมการ์ดสำหรับโทรศัพท์ และมีทีมแพทย์ นักแปล อาสาสมัคร และผู้จัดงานคอยช่วยเหลือ

มีครอบครัวชาวเยอรมันจำนวนมากที่มีความพร้อมและเข้มแข็งราวหลายร้อยคนยืนอยู่ที่นั่น โดยพวกเขาจะเสนอที่พักให้กับผู้ลี้ภัย พร้อมถือป้ายที่ทำเอง: “พักได้สองคน! ระยะสั้นหรือระยะยาว” หรือ “ห้องใหญ่ หนึ่ง-สามคน เด็กก็ยินดีต้อนรับเช่นกัน นานเท่าที่คุณต้องการ”

มีเสียงปรบมือดังลั่นเมื่อผู้ชายถือโทรโข่งถามว่ามีใครพร้อมรับ 13 คนไหม และมีคนก้าวไปข้างหน้า แม่คนหนึ่งอยู่ที่นี่กับลูกสาวของเธอ ซึ่งมีอายุไม่เกิน 12 ขวบ ถือป้ายที่เขียนว่า “แม่หนึ่ง ลูกสองคน อายุสี่หกสัปดาห์” ถัดจากเธอคือ มาร์กอท ซึ่งอายุ 70 ​​ปี พร้อมกระดานสีน้ำเงินและสีเหลือง: “ห้องเดียวสำหรับแม่และลูก”

“ฉันเองก็เป็นลูกของผู้ลี้ภัยเหมือนกัน” มาร์กอทกล่าวโดยอธิบายว่าแม่ของเธอ ซึ่งยังมีชีวิตอยู่และตอนนี้อายุ 97 ปี ต้องหนีจากพวกนาซีของฮิตเลอร์เพื่อหาที่หลบภัย “ดังนั้นฉันจึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อผู้ลี้ภัย คราวนี้ไม่ใช่ฮิตเลอร์ แต่สำหรับฉันมันรู้สึกเหมือนกับที่ปูตินทำคือสิ่งที่ฮิตเลอร์เคยทำมาก่อน” แม้จะมีผู้ลี้ภัยจำนวนมากที่เดินทางมาถึง แต่ก็ดูเหมือนว่ามีครอบครัวชาวเยอรมันมากเกินพอที่จะรับพวกเขาเข้ามา

ในเขตชานเมืองของกรุงเบอร์ลิน มาทีนาและสามีของเธอ ทิมโม ได้เปิดบ้านของพวกเขาซึ่งพวกเขามีลูกสาววัยรุ่น 2 คน และเพิ่งรับชาวยูเครนไป 4 คน








Advertisement

อนาสตาเซียพร้อมด้วยอาร์เทมีลูกชายวัย 4 ขวบและพ่อแม่บุญธรรมของเธอวิกตอเรีย สามีของเธอ ดิมิทรี ถูกสั่งห้ามออกจากยูเครน ไม่มีผู้ชายวัยฉกรรจ์คนไหนที่สามารถออกจากประเทศได้ และนี่เป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถอธิบายกับลูกชายวัย 4 ขวบได้

อานาสตาเซียและลูกชายของเธอได้เดินทางไปเยอรมนีแล้ว แต่ สามีของเธอไม่สามารถออกจากยูเครนได้

เขาเอาแต่ถามถึงพ่อของเขาทุกครั้ง” เธอพูดเสียงสั่น “พ่อของเขาอยู่ที่ไหน และเมื่อไหร่ที่เขาจะได้เจอกัน ฉันไม่รู้ แต่ฉันหวังว่าในเร็วๆ นี้” อนาสตาเซียพูดพร้อมปาดน้ำตา “และพ่อของฉัน ฉันหวังว่าฉันจะได้พบเขาในไม่ช้าเช่นกัน” ซึ่งพ่อของเธอพยายามจะข้ามยูเครนเพื่อหนีไปยังเยอรมนีเช่นกัน

เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับผู้ที่กำลังเดินทางมา มาทีนาและสามีของเธอ ทิมโม ผู้บริหารบริษัทไอที ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในห้องของลูกสาวคนหนึ่ง พร้อมทั้งให้จูนาและโจลี ลูกสาวฝาแฝดวัย 13 ปีของพวกเขาแชร์ห้องนอนกัน

“เมื่อเราเริ่มอ่านข่าว เราพูดทันทีว่า เราต้องรับใครสักคนเข้ามา เพื่อให้ใครบางคนได้รับความสงบ เพราะบางทีมันอาจกลายเป็นเราก็ได้ นี่คือสิ่งที่เรารู้สึก” ทิมโมบอก

การโจมตียูเครนของวลาดิมีร์ ปูติน ทำให้หลายคนในเยอรมนีสั่นสะท้าน เพราะพวกเขาเชื่อมาตลอดว่าสันติภาพจะยังคงอยู่ในยุโรป “เราอยู่อย่างสงบสุขมาทั้งชีวิต” มาทีนา กล่าว “เราไม่รู้ว่าการอยู่ในสงครามเป็นอย่างไร มันน่าตกใจ ความคิดแรกของเราคือเราต้องช่วยสักครอบครัวเพื่อให้พวกเขารู้สึกปลอดภัย เราจะให้ความสงบแก่พวกเขาในบ้านหลังนี้”

อาร์เทมีวัย 4 ขวบกำลังเล่นอย่างมีความสุขกับรถดับเพลิงไม้ที่เพิ่งได้รับ เขาคิดว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขาเพราะเขาได้รับของขวัญมากมาย ครอบครัวที่อุปถัมภ์กล่าวว่าแขกของพวกเขาสามารถอยู่ได้นานเท่าที่ต้องการ พวกเขาเล่าว่าเมื่อเราออกจากบ้านมา เพื่อนบ้านแบกของขวัญมามากมาย พร้อมทั้งตะกร้าอาหารสำหรับผู้ลี้ภัย

ในย่านอื่นของเบอร์ลิน เราพบ ทาเร็ก และคนอื่นๆ อีกประมาณโหลที่ขนเสบียงขึ้นรถบัส ทาเร็กเป็นชาวซีเรีย เขาหนีสงครามที่นั่นเมื่อหกปีที่แล้ว โดยเดินผ่านยุโรปเป็นเวลา 2 เดือนเพื่อไปถึงเยอรมนี ตอนนี้เขากำลังเดินทางไปชายแดนยูเครนเพื่อรวบรวมผู้ลี้ภัยและนำพวกเขากลับมา

ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียกล่าวว่าเขาต้องการช่วยเหลือผู้คนที่หนีสงคราม

“ผมรู้ว่าการหนีสงครามเป็นอย่างไร นั่นคือเหตุผลที่ผมต้องการช่วยเหลือผู้คนในตอนนี้” เขากล่าว

ทาเร็ก ผู้ลี้ภัยจากวิกฤตการณ์หนึ่ง กำลังมุ่งหน้าไปช่วยเหลือผู้มาจากอีกวิกฤตหนึ่ง เขากล่าวว่าประเด็นทั่วไปที่เกิดขึ้นตลอดช่วงสงครามในซีเรียและยูเครน คือการรุกรานของวลาดิมีร์ ปูติน และความรุนแรงที่ปลดปล่อยออกมา คร่าชีวิตผู้คนมากมาย

 

ที่มา: BBC

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน