เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 19 พ.ย. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง พร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ และคุณพลอยไพลิน เจนเซน และพระธิดาในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งดำเนินมาเป็นวันที่ 37 ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย หน้าพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงกราบหลังจากนั้นทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ที่หน้าพระแท่นพระมหาเศวตฉัตร จากนั้นถวายภัตตาหารเช้าแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร ที่สวดพระอภิธรรมมาตั้งแต่คืนวันที่ 18 พ.ย.

นางสุจิต ลิ้มจุฬารัตน์ อายุ 80 ปี

นางสุจิต ลิ้มจุฬารัตน์ อายุ 80 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นวันที่ 22 ที่พระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายบังคมพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ได้ตั้งแต่เวลา 08.00-21.00 น. (ยกเว้นช่วงมีพระราชพิธีบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท) โดยมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศสวมชุดไว้ทุกข์สุภาพเรียบร้อย เดินทางมาต่อคิวเพื่อเข้าถวายบังคมพระบรมศพตั้งแต่เช้ามืด ซึ่งเจ้าหน้าที่เปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรีอย่างเป็นระเบียบ โดยในเวลา 05.00 น. เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี จากนั้นได้เปลี่ยนทางเข้าเป็นทางประตูมณีนพรัตน์ ถนนหน้าพระลาน ในเวลา 08.30 น. เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดารามเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี

นายเจมส์ ไพเดอร์ อายุ 53 ปี

นายเจมส์ ไพเดอร์ อายุ 53 ปี

ทั้งนี้ พสกนิกรที่มากราบสักการะพระบรมศพทุกคนยังคงอยู่ในความโศกเศร้าเสียใจ หลายคนกอดพระบรมฉายาลักษณ์ที่นำมาจากบ้านไว้แนบอกตลอดเวลา และเมื่อได้เข้ากราบถวายสักการะพระบรมศพแล้ว สำนักพระราชวังแจกภาพพระบรมโกศพระบรมศพ พิมพ์ 4 สี ขนาด 5 คูณ 7 นิ้ว ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานแก่พสกนิกรทุกคนเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย

นางสาริกา ศรีวนาตระกูล อายุ 32 ปี ชาวปกาเกอะญอ พร้อมลูกสาว

นางสาริกา ศรีวนาตระกูล อายุ 32 ปี ชาวปกาเกอะญอ พร้อมลูกสาว

วันเดียวกัน สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชน ที่เดินทางมาถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 18 พ.ย. หลังสำนักพระราชวังปิดไม่ไห้ประชาชนเข้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อขึ้นถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 22.10 น. ว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 36,240 คน รวม 21 วันมี 635,048 คน และมีประชาชนถวายเงิน เพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 2,534,846.75 บาท รวม 21 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 45,162,137.75 บาท

vek_6420

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้มีพสกนิกรเดินทางเข้าแถวรอถวายบังคม พระบรมศพหนาแน่นเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นวันหยุด โดยมีพสกนิกรจากหลายพื้นที่เดินทางมาตั้งแต่ค่ำคืนที่ผ่าน อย่างเช่นชนเผ่าปกาเกอะญอ จาก อ.แม่ระมาด จ.ตาก ที่เหมารถตู้ออกเดินทางมาตั้งแต่ 6 โมงเย็นของวันศุกร์ และมาถึงสนามหลวงตอนตี 2 พร้อมเข้าคิวเพื่อเข้าสักการะพระบรมศพในทันที

vek_6411

นางสาริกา ศรีวนาตระกูล อายุ 32 ปี ชาวปกาเกอะญอพร้อมลูกสาว ด.ญ.รุ่งตะวัน ศรีวนาตระกูล อายุ 11 ปี และนางอรชร ตระกูลพงอนุชิต อายุ 28 ปี ที่กำลังต่อคิวอย่างใจจดใจจ่อด้วยชุดท้องถิ่นสุภาพ โดยบอกว่ามาทั้งหมด 12 คน ทุกคนพร้อมใจกันมาสักการะในหลวง ร.9

s__14770262

นางสาริกา กล่าวขณะนั่งรอคิวว่า ทุกคนในหมู่บ้านอยากจะมา โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่ที่สูงอายุ แต่ลำบากเรื่องการเดินทาง ครั้งนี้จึงรวมตัวเฉพาะผู้สามารถเดินทางได้สะดวกก่อน หากถามว่าทำไมถึงต้องมานั้น เรามาด้วยความรักที่อยากจะตอบแทนพระองค์ที่ทรงมอบความรักให้กับพวกเรา โดยไม่แบ่งเชื่อชาติศาสนา ทรงทำงานหนักเพื่อราษฏรมาอย่างยาวนาน ซึ่งเราในฐานะชาวปกาเกอะญอก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์ท่าน ทำให้เราอยู่ดีกินดีมาอย่างยาวนาน ต้องขอบคุณพระองค์ท่านจริงๆ

นายเจมส์ ไพเดอร์ อายุ 53 ปี เดินทางมาพร้อมเพื่อนชาวไทย น.ส.จารุณี ทองด้วง อายุ 37 ปี จาก จ.บุรีรัมย์ โดยนายเจมส์ เปิดเผยว่า ได้ย้ายถิ่นฐานปักหลักอยู่ในประเทศไทย นาน 15 ปี เพราะความรักในบรรยากาศสบายแบบไทย ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม อากาศ และอาหารไทย โดยวันนี้ตั้งใจเดินทางมาสักการะพระบรมศพในหลวง ร.9 เพราะที่ประเทศอังกฤษมีสมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 ขณะเดียวกันประเทศไทยก็มีกษัตริย์ และตลอดเวลาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยก็ได้รู้จักพระองค์ผ่านการทรงงานในด้านต่างๆ มาตลอด 70 ปี ทั้งโครงการพระราชดำริ, เสด็จเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดาร โดยเฉพาะในภาคอีสาน

นอกจากนี้ ยังไม่ใช่แค่โครงการพระราชดำริต่างๆ แต่ยังมีพระบรมราโชวาท รวมถึงภูมิปัญญาต่างๆ เวลาที่พระองค์ทรงสอนสิ่งใดประชาชนก็จะปฏิบัติตาม ทำให้ได้เห็นถึงความรักความผูกพันระหว่างสถาบันกษัตริย์กับประชาชนได้เป็นอย่างดี

นางสุจิต ลิ้มจุฬารัตน์ อายุ 80 ปี ชาวนครศรีธรรมราช เดินทางมาพร้อมลูกหลานรวม 20 คน มาถึงบริเวณสนามหลวงตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 18 พ.ย. ด้วยความตั้งใจเข้ากราบสักการะพระบรมศพสักครั้งในชีวิต กล่าวว่า เพราะประทับใจในน้ำพระทัยของพระองค์ท่านที่ทรงมีต่อพสกนิกร ตั้งแต่เกิดมาก็เห็นพระองค์ท่านแล้ว เคยเฝ้าฯรับเสด็จเมื่อครั้งเสด็จฯ ที่อ.ปากพนัง ที่ทรงลงไปช่วยประชาชนที่ประสบเหตุวาตภัย รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นยิ่งนัก จากนั้นตัวเองได้เข้าเป็นอาสาสมัครสภากาชาดไทยของจังหวัด เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการได้เป็นผู้ให้ คอยช่วยเหลือผู้อื่น ทั้งนี้เพราะเราเห็นในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงงานเพื่อประชาชนมาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ จึงสอนต่อลูกหลานให้ยึดหลักคำสอนในเรื่องของความพอเพียง การอดออม และการเป็นคนดี

ที่เต็นท์หน่วยทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งตั้งอยู่บริเวณท้องสนามหลวงฝั่งทิศใต้ ฝั่งตรงข้ามประตูมณีนพรัตน์ พระบรมมหาราชวัง ได้ย้ายมายังบริเวณท้องสนามหลวง ฝั่งทิศเหนือเยื้องกันพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยจะรวมอยู่ภายในศูนย์อาหารบริการประชาชนที่แบ่งเป็นสัดส่วน และยังคงมีอาหาร ขนม เครื่องดื่มไว้บริการประชาชนครบ 4 มื้อดังเดิม ตามพระราชประสงค์ที่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงห่วงใยพสกนิกรที่เดินทางมาแสดงความอาลัย

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร นำอาหาร ขนม ผลไม้ ของว่าง และน้ำดื่มพระราชทานมาแจกจ่ายให้ประชาชน โดยมีนักเรียนจากมูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.) จำนวน 20 คน ที่จะสลับผลัดเปลี่ยนกันมาร่วมให้บริการประชาชนทุกวันเสาร์และอาทิตย์

สำหรับเมนูอาหารพระราชทานแจกจ่ายประชาชนประจำวันที่ 19 พ.ย. มื้อเช้าเวลา 07.00 น. ประกอบด้วย ข้าวต้มปลา 1,500 ถ้วย กาแฟสดบาเรสต้า 600 แก้ว นมหนองโพ 2,000 กล่อง มื้อเที่ยงเวลา 11.00 น. ข้าวเหนียวไก่ทอด 4,000 จาน ขนมไทย 300 ชุด มื้อบ่ายเวลา 16.00 น. ขนมไทย 1,000 กล่อง ข้าวเหนียวหมูและข้าวเหนียวไก่ 1,000 กล่อง เฉาก๊วยชากังราว 1,000 ถุง น้ำดื่มสมุนไพร 500 ลิตร และมื้อเย็นเวลา 18.00 น. ผัดหมี่พิมาย 2,500 ชุด ยำหมูยอ 99 กิโลกรัม ขณะเดียวกันมีและน้ำดื่มจิตรลดาให้บริการประชาชนตลอดทั้งวัน

เจ้าหน้าที่กองงานส่วนพระองค์ฯ แจ้งว่า เต็นท์อาหารและน้ำดื่มพระราชทานมีความกว้างมากขึ้น สามารถรองรับประชาชนที่เดินทางเข้ามาถวายบังคมพระบรมศพได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้นด้วย โดยในเรื่องของอาหารจะยังคงเป็นไปตามเดิม เพียงแต่ย้ายสถานที่ ขณะที่ทีมแพทย์ประจำพระองค์จะย้ายไปรวมกับศูนย์แพทย์ที่อื่นๆ บริเวณกึ่งกลางท้องสนามหลวง เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยคาดว่าอีก 2 วันจะสามารถให้บริการแก่ประชาชนได้

หนึ่งในนักเรียนทุน ม.ท.ศ. น.ส.ธนพร แซ่ตั้ง อายุ 18 ปี นักเรียนชั้นม.6 จากโรงเรียนกุดชุมวิทยาคม อ.กุดชม จ.ยโสธร เล่าด้วยน้ำเสียงปลื้มปีติว่า ตัวเองมาจากครอบครัวไม่สมบูรณ์พ่อแม่แยกทางกัน อาศัยอยู่กับตาและยายตั้งแต่เกิด พอเรียนมาถึงชั้นมัธยมปีที่สอง ตาเสียชีวิตเหลือแค่ยายคนเดียวชีวิตยิ่งลำบากมากขึ้น

กระทั่งมาถึงชั้น ม.3 ครูแนะนำให้สมัครขอทุนจากโครงการดังกล่าว ก่อนที่จะได้เป็นนักเรียนทุนเหมือนคนที่มีแขนขาครบแต่ไม่มีแรง จากมีความฝันอยากเป็นวิศวกรแต่ไม่มีความหวัง แต่พอได้ทุนแล้วเหมือนมีพลังเกิดขึ้นความฝันที่เคยวาดหวังไว้เริ่มชัดเจนมากยิ่งขึ้น หนังสือเรียนที่เคยอยากได้เพราะไม่มีเงินก็สามารถซื้อมาอ่านได้ และจากการได้รับทุนการศึกษาในครั้งนี้ ตนจึงตั้งปณิธานว่าเมื่อเรียนจบแล้วกลับมาให้ช่วยเหลือสนับสนุนกับผู้ด้อยโอกาสอีก สมกับที่ตนเองได้รับพระราชทานน้ำพระราชหฤทัยจาก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร

ขณะที่ เต็นท์มูลนิธิ 5 ธันวามหาราช ภายในท้องสนามหลวง ฝั่งตรงข้ามศาลฎีกา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงห่วงใยประชาชนที่มาถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดหน่วยแพทย์ เภสัชกร พยาบาล และบุคลาการ จากร.พ.วิชัยยุทธ แบ่งเป็น 2 ผลัด 08.00-16.00 น. จำนวน 17 คน และผลัดที่ 2 ในเวลา 16.00-20.00 น. จำนวน 18 คน โดยส่วนใหญ่ประชาชนที่เข้ามารับการรักษามีอาการวิงเวียนและเป็นลมเนื่องจากอากาศร้อบอบอ้าว

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน