“พระราชินี-พระบรม”เสด็จฯ เชิญพระบรมศพ

ประกอบพิธีถวายสรง พระหีบ-พระบรมโกศ ประดิษฐานพระที่นั่งดุสิต หมู่พสกนิกรเนืองแน่น

สมเด็จพระนางเจ้าฯ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จฯ เชิญพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ จากโรงพยาบาลศิริราช มายังพระที่นั่งพิมานรัตยา ในพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระบรมฯ ทรงเป็นประธานถวายน้ำสรงพระบรมศพ แล้วเชิญพระหีบพระบรมศพ ประดิษฐานพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ขณะที่ศาลาสหทัยสมาคมเปิดให้บุคคลสำคัญ ประชาชนลงนามถวายความอาลัย ถวายสักการะเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ แห่กันมาอย่างเนืองแน่นมหาศาล เสียงร่ำไห้สะอื้นระงมไปทั่ว

แห่ถวายสักการะพระบรมศพ

พสกนิกรไทยโศกสลดหลั่งไหลโรงพยาบาลศิริราช เฝ้าตลอดสองข้างทางเพื่อรอถวายสักการะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ในพิธีเชิญพระบรมศพไปยังพระที่นั่งพิมานรัตยา ในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง โดยเมื่อวันที่ 14 ต.ค. ที่บริเวณโดยรอบร.พ.ศิริราช มีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ รวมทั้งอาสาสมัครวางกำลังรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา นำแผงเหล็กมากั้นตลอดเส้นทางที่ขบวนพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เคลื่อนผ่าน โดยมีประชาชนจำนวนมากแต่งกายด้วยชุดสีดำมาจับจองพื้นที่นั่งตลอดเส้นทางถนนวังหลัง

ขณะที่ด้านในร.พ. มีประชาชนจำนวนมากเช่นกัน แต่งกายด้วยชุดดำนั่งอยู่ตลอดแนวถนนบวรสถานพิมุขจนถึงประตู 8 ด้วยสีหน้าโศกเศร้า พร้อมถือพระบรมฉายาลักษณ์ และธง สีเหลืองมีตราพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. ขณะเดียวกัน มีประชาชนเข้ามาสักการะพระราชา นุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และพระรูปหล่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ณ ศาลาศิริราช 100 ปี ก่อนนั่งอยู่ภายในศาลาศิริราช 100 ปี เพื่อรอเฝ้าถวายสักการะพระบรมศพ

ตั้งใจทำความดีถวายพระองค์

นายสุรศักดิ์ ปัญญาบริบูรณ์ อายุ 41 ปี พร้อมด้วยลูกสาว ด.ญ.อันนา ปัญญาบริบูรณ์ อายุ 10 ขวบ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนไทยคริสเตียนสะพานเหลือง กล่าวว่าเมื่อทราบข่าวสวรรคต ถึงกับนิ่งจนพูดไม่ออก วันนี้ชวนลูกสาวเดินทางมาตั้งแต่เวลา 08.00 น. เพื่อเฝ้าถวายสักการะพระบรมศพ ส่วน ด.ญ.อันนากล่าวว่าต่อจากนี้จะทำความดีและตั้งใจเรียนตามคำสอนของพระองค์ท่าน

ส่วน น.ส.ยุพารัตน์ เปรมประสพโชค อายุ 21 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะแพทยศาสตรศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าช่วงที่ทราบว่าพระองค์มีพระอาการประชวรก็จะมาถวายพระพรทุกวัน โดยขอให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว และมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง เมื่อวานนี้ทราบข่าว แต่ไม่เชื่อ จึงมาเฝ้าติดตามพระอาการที่โรงพยาบาล กระทั่งมีประกาศออกมาว่าเสด็จสวรรคตแล้ว ไม่เคยรู้สึกเสียใจอย่างนี้มาก่อน

ภูมิใจอยู่ใต้ร่มบรมโพธิสมภาร

“บรรพบุรุษของหนูอพยพจากเวียดนามมาอยู่ประเทศไทย หนูรู้สึกโชคดีที่ได้เกิดอยู่บนแผ่นดินไทย และอยู่ใต้ร่มบรมโพธิสมภาร ตั้งแต่เด็กจะได้รับรู้พระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระองค์ที่ทรงงานเพื่อประชาชน และทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หนูจะน้อมนำแนวคำสอนของพระองค์มาปฏิบัติให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ วันนี้หนูจะตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระองค์เสด็จสู่สรวงสวรรค์” น.ส.ยุพารัตน์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้คณะแพทย ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ออกประกาศงดให้บริการตรวจคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการสำหรับผู้ป่วยที่มีนัดหมายให้ติดต่อเลื่อนนัด ขณะที่ประชาชนที่อยูภายใน ร.พ.ศิริราช รวมถึงคณะแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลศิริราช ได้ออกมานั่งรอเฝ้าถวายสักการะพระบรมศพเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มบริเวณตลอดสองข้างถนนบวรสถานพิมุขไปถึงประตู 8

เหล่าข้าราชบริพารโศกสลด

ขณะเดียวกัน ที่พระบรมมหาราชวัง เมื่อเวลา 06.00 น. เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเร่งตระเตรียมตกแต่งสถานที่ ทั้งภายในพระที่นั่งพิมานรัตยา และพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ให้เป็นไปตามพระเกียรติแห่งโบราณราชประเพณี ของการประกอบพระราชพิธีพระบรมศพของพระมหากษัตริย์ พร้อมปรับภูมิทัศน์ภายใน และโดยรอบพระบรมมหาราชวัง ให้เป็นระเบียบปฏิบัติของการพระราชพิธีอันสำคัญสูงสุดแห่งราชสำนัก ขณะที่รอบพระบรมมหาราชวัง ประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกเพศทุกวัย เริ่มแห่แหนมาจับจองพื้นที่บนฟุตปาธ ทั้งถนนหน้าพระลาน หน้าประตูวิเศษไชยศรี ถนนมหาราช หน้าประตูเทวาภิรมย์ เพื่อต่างเตรียมเข้าร่วมในพระราชพิธีสำคัญที่สุดของจิตใจของคนไทยทั้งชาติ

ส่วนบรรยากาศในเขตพื้นที่พระบรมมหาราชวัง เป็นสถานที่ตั้งของส่วนราชการ ที่ถวายงานสถาบันสูงสุดของชาติ ทั้งสำนักพระราชวัง สำนักราชเลขาธิการ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นไปด้วยความเงียบเหงา ข้าราชการทุกหน่วยงาน ที่มีจำนวนมากกว่า 2,000 คน ต่างอยู่ในอาการโศกเศร้าต่อความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ หลายคนมีน้ำตาคลอเบ้าตลอดเวลาที่เข้ามาปฏิบัติงาน แต่ต่างพร้อมรับความจริง และร่วมกันปฏิบัติหน้าที่เพื่อถวายงานองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เป็นครั้งสุดท้าย

เสียใจอย่างหาที่สุดมิได้

ต่อมาเวลา 08.30 น. ที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง เปิดให้มีพิธีถวายน้ำสรงพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมฉายา ลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ โดยใช้พื้นที่ห้องโถงทิศตะวันออกของศาลาสหทัยสมาคม เป็นสถานที่ประกอบพิธี โดยอัญเชิญพระบรมฉายา ลักษณ์ ในฉลองพระองค์ครุยราชภูษิตาภรณ์ ประดิษ ฐานบนโต๊ะหมู่บูชา ที่ประดับดอกไม้สีชมพู โยงสายภูษามายังโอ่งบรรจุน้ำสรง พระศพ

ขณะเดียวกันที่โถฝั่งตะวันตก ได้กั้นไว้สำหรับบุคคลระดับวีไอพี ประกอบด้วยเหล่าทูตานุทูต ข้าราชการระดับสูง ก่อนจะเริ่มพิธีถวายน้ำสรงพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ โดยเริ่มจากคณะของฝ่ายบริหาร ข้าราชการ สำนักพระราชวัง สำนักราชเลขาฯ ซึ่งเป็นบุคคลถวายงานรับใช้ใกล้ชิด ท่ามกลางความเสียใจของเหล่าข้าราชบริพารอย่างหาสุดมิได้

นายกฯนำครม.ถวายอาลัย

ต่อมาคณะบุคคลสำคัญเดินทางมาร่วมพิธีถวายน้ำสรงพระบรมศพ นำโดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำคณะรัฐมนตรี พร้อมภริยา และนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ลงนามถวายอาลัย และถวายน้ำสรงพระบรมศพ โดยนายกฯ กล่าวให้กำลังใจกับประชาชนที่มายืนรอถวายน้ำสรงพระบรมศพ ว่า ประชาชนทุกคนต้องเข้มแข็ง และผ่านพ้นไปให้ได้ นอกจากนี้ยังมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ, นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย, นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง, พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม, นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่พสกนิกรประชาชนทุกหมู่เหล่าเดินทางเข้ามาประกอบพิธีถวายน้ำสรงพระบรมศพ ในศาลาสหทัยสมาคม ผ่านทางเข้าประตูวิเศษไชยศรี โดยพสกนิกรชาวไทยและชาวต่างชาติจากทั่วทุกสารทิศ พร้อมใจสวมชุดไว้ทุกข์ขาวดำ ยืนต่อแถวยาว ตั้งแต่ทางเข้าศาลาสหทัยสมาคม ล้นทะลักออกไปถึงด้านนอกวัง ถนนหน้าพระลาน และกำแพงแก้วพระบรมมหาราชวัง

สะอื้นไห้ระงมศาลาสหทัยฯ

ส่วนภายในศาลาสหทัยสมาคม เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง คอยอำนวยความสะดวกให้ผู้ที่เข้ามาร่วมพิธี ด้วยการจัดระเบียบแถวเข้าออก พร้อมตักน้ำสรงพระบรมศพใส่ขันทองขนาดเล็กยื่นส่งให้ ตลอดเวลาในพิธีตั้งแต่วินาทีแรกที่เปิดในศาลาสหทัยสมาคมก็เต็มไปด้วยเสียงสะอื้นไห้ของประชาชน บางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไม่ไหว เพราะยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสียครั้งใหญ่หลวง นอกจากนี้กองงานส่วนพระองค์ยังนำกล้องถ่ายภาพยนตร์ขนาด 16 ม.ม. มาบันทึกภาพเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของประชาชนทั่วทุกสารทิศต่างพร้อมใจกันถวายสักการะพระบรมศพ เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย

น.ส.เฉลิมขวัญ ขันนามล อายุ 24 ปี ชาว จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่าเดินทางจากที่พักย่านรามคำแหงมาสนามหลวง เพื่อถวายน้ำสรงพระบรมศพ ตั้งแต่เวลา 04.00 น. เมื่อวานตอนที่ทราบข่าวก็รีบโทรศัพท์บอกแม่ทันที เพราะแม่รักในหลวงมากไม่เคยทิ้งรูปในหลวงเลย ที่บ้านที่นครศรีธรรมราชมีรูปในหลวงติดไว้เยอะมาก วันนี้เป็นตัวแทนครอบครัวมาส่งพระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย

พระองค์ไม่ทรงเหนื่อยอีกแล้ว

ขณะที่ นางพิสมัย จิตนานนท์ อายุ 68 ปี เดินทางมาจาก จ.ภูเก็ต กล่าวทั้งน้ำตาว่ามานั่งจองที่ตั้งแต่เมื่อคืนตอนตี 2 ตั้งแต่ที่ทราบข่าวสวรรคต นอนไม่หลับ จึงนั่งสวดมนต์จนถึงเช้า และไปตักบาตร วันนี้จะรอส่งพระองค์ท่านจนถึงนาทีสุดท้าย เพราะถือเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะทำให้ได้ สิ่งที่ทำให้ระลึกถึงพระองค์ท่านอยู่เสมอ จากนี้ไปจะนำคำสอนของพระองค์ท่านมาใช้ในการดำเนินชีวิต และอยากจะบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงประชาชนชาวไทย เพราะประชาชนของพระองค์ท่านจะรักและสามัคคีปรองดองกัน พระองค์ท่านทรงงานหนักและเหนื่อยมามากแล้ว ถึงเวลาที่จะได้พักผ่อน ไม่ต้องเหนื่อยอีกแล้ว

สำนักพระราชวังได้เปิดให้ประชาชนถวายน้ำสรงพระบรมศพถึงเวลา 12.00 น. แต่ประชาชนยังเดินทางมาร่วมในพิธีอย่างต่อเนื่อง โดยมีปลายแถวอยู่บริเวณสนามหลวง ทำให้บริเวณถนนหน้าพระลาน จากประตูวิเศษไชยศรีวนไปจนถึงบริเวณหน้าศาลหลักเมืองกรุงเทพฯ เต็มไปด้วยประชาชนที่ต่างสวมชุดสีดำมืดสนิทเต็มถนน ขณะที่หน้าวัดบวรนิเวศวิหารมีคลื่นประชาชนเดินบนทางเท้าอย่างต่อเนื่องเพื่อมาที่ศาลาสหทัยฯ ในพระบรมหาราชวัง ท่ามกลางสภาพอากาศร้อน

ขบวนเชิญพระบรมศพ

สำหรับขบวนเชิญพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศนั้น เริ่มเมื่อเวลา 16.00 น. สมเด็จพระบรมโอรสา ธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราช ดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต มายังอาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 16 โรงพยาบาลศิริราช

จากนั้นสมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เดินนำขบวนเชิญพระบรมศพลงจากอาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 16 โดยมีคณะแพทย์และพยาบาลที่ถวายการรักษาพยาบาลเลื่อนเตียงพยาบาลเชิญพระบรมศพเข้าสู่ลิฟต์ โดยมีสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จฯตามพระบรมศพ เมื่อเชิญพระบรมศพถึงชั้นล่างของอาคารเฉลิมพระ เกียรติแล้ว ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เชิญพระบรมศพโดยเปลพยาบาล เข้าสู่รถพยาบาลที่เทียบรออยู่หน้าอาคารเฉลิมพระเกียรติ นายแพทย์และพยาบาลที่ถวายการรักษา ตามเสด็จในรถพยาบาล

“ราชินี”ทรงร่วมเสด็จฯด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขบวนรถเชิญพระบรมศพได้เคลื่อนออกจากอาคารเฉลิมพระเกียรติ และออกทางประตู 8 โรงพยาบาลศิริราช โดยมีประชาชน รวมถึงคณะแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลศิริราช นั่งเฝ้าถวายสักการะพระบรมศพแน่นขนัดตลอดสองฝั่งถนนบวรสถานพิมุข บางส่วนก้มลงกราบพื้นและพนมมือไหว้จนขบวนรถเคลื่อนออกไปลับตา บางคนร่ำไห้โฮออกมาด้วยความอาลัย สำหรับรถเชิญพระบรมศพเป็นรถตู้โฟล์กสวาเกน สีเทา ลายสีฟ้า ทะเบียน 1 ด 0929 กรุงเทพมหานคร

ต่อมาเวลา 16.55 น. สมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งออกจากอาคารเฉลิมพระเกียรติ และออกทางประตู 8 โรงพยาบาลศิริราช ไปยังพระบรมมหาราชวัง พระองค์ทรงมีพระพักตร์แจ่มใส และโบกพระหัตถ์ให้พสกนิกรที่มาเฝ้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ

ชูพระบรมฉายาลักษณ์เหนือเกล้า

ส่วนบริเวณสองฝั่งข้างทางนอกโรงพยาบาลศิริราช ขณะที่ขบวนพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เคลื่อนออกจากโรงพยาบาลศิริราช ประชาชนต่างพร้อมใจตะโกนด้วยเสียงกึกก้องไปทั่วบริเวณว่า “ขอพระองค์เสด็จสู่สวรรคาลัย” แล้วร้องไห้ออกมาด้วยความเศร้าโศกเสียใจ พร้อมกับชูพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ขึ้นเหนือศีรษะ

น.ส.ดารมณี มาลัย อายุ 29 ปี พยาบาลโรงพยาบาลศิริราช กล่าวน้ำเสียงสะอื้นไห้ว่า รักพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศมาก ก่อนหน้านี้ก็มาถวายพระพรทุกวัน เพื่อขอให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว แต่เมื่อทราบว่าสวรรคตก็เสียใจมาก ขอให้เสด็จสู่สวรรคาลัย

พสกนิกรต่างพนมมือร้องไห้

จากนั้นขบวนรถเชิญพระบรมศพเคลื่อนไปยังพระบรมมหาราชวัง เข้าทางประตูวิเศษไชยศรี ประตูพิมานไชยศรี มีรถของสมเด็จพระวันรัตนำ ตามด้วยรถเชิญพระบรมศพ และขบวนรถยนต์พระที่นั่งของพระบรมวงศานุวงศ์ ในขณะที่ขบวนรถเสด็จผ่านไปตามเส้นทาง ประชาชนทุกหมู่เหล่าที่รอรับเสด็จต่างพนมมือพร้อมกับร้องไห้อยู่ในอาการที่สำรวมสงบและโศกเศร้า

เมื่อรถพยาบาลเชิญพระบรมศพเทียบด้านในประตูพรหมโสภาตรงกับบันไดพระที่นั่งพิมานรัตยา ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์เชิญพระบรมศพโดยเปลพยาบาลขึ้นสู่พระที่นั่งพิมานรัตยา พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จตามพระบรมศพ เมื่อเชิญพระบรมศพเข้าในพระที่นั่งพิมานรัตยา ถึงที่พระแท่นสรงพระบรมศพ นายแพทย์และพยาบาลเชิญพระบรมศพขึ้นบรรทมที่พระแท่น ซึ่งปูลาดด้วยพระยี่ภู่ เพื่อเตรียมการสรงน้ำพระบรมศพ

“พระบรม”ถวายน้ำสรงที่พระบาท

จากนั้นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชการ เสด็จ ออกจากพระที่นั่งราชกรัณยสภา ไปยังพระที่นั่งพิมานรัตยา เสด็จ ขึ้นทางบันไดพระที่นั่งพิมานรัตยา เสด็จเข้าในพระฉาก ซึ่งพระบรมศพบรรทมอยู่บนพระแท่น ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยสำหรับพระบรมศพบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย กราบถวายบังคมพระบรมศพ ทรงรับขวดน้ำพระสุคนธ์จากเจ้าพนักงาน ถวายสรงที่พระบาทพระบรมศพ กราบถวายบังคมพระบรมศพ

ทรงรับหม้อน้ำพระสุคนธ์ โถน้ำขมิ้น และโถน้ำอบไทยจากเจ้าพนักงานสนมพลเรือน ถวายสรงที่พระบาทพระบรมศพ จากนั้นทรงหวีเส้นพระเจ้าขึ้นครั้งหนึ่ง หวีลงอีกครั้งหนึ่ง แล้วหวีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วหักพระสางนั้น วางไว้ในพานซึ่งเจ้าพนักงานเชิญอยู่ ในขณะนั้นพนักงานประโคมโหระทึก สังข์ แตรฝรั่ง แตรงอน ปี่กลองชนะ ปี่พาทย์ ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ทหารปืนใหญ่ยิงถวายพระเกียรติ นาทีละ 1 นัดตลอดเวลา

วางแผ่นทองคำปิดพระพักตร์

ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เชิญพระหีบพระบรมศพมาเทียบที่พระแท่นบรรทมพระบรมศพ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี และทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประทับทอดพระเนตรการย้ายพระบรมศพลงพระหีบ โดยแพทย์ พยาบาล ที่ถวายงาน ถวายการจัดแต่งผ้าคลุมพระองค์ และจัดพระบรมศพให้เป็นที่เรียบร้อยสมพระเกียรติ

เจ้าพนักงานถวายซองพระศรี บรรจุดอกบัวและธูปเทียน ทรงวางซองพระศรี บรรจุดอกบัวและธูปเทียน แล้วพระราชทานคืนเจ้าพนักงาน ทรงรับและทรงวางแผ่นทองคำจำหลักลายปิดพระพักตร์ แล้วพระราชทานคืนเจ้าพนักงาน ทรงรับพระชฎาห้ายอด ทรงวางข้างพระเศียรแล้วพระราชทานคืนเจ้าพนักงาน

กราบถวายบังคมพระบรมศพ

จากนั้นทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 10 นาย เชิญพระหีบพระบรมศพ มีตำรวจหลวงนำ 4 นาย ไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จฯ ตามพระบรมศพ ประทับยืนที่หน้าพระราชอาสน์ เมื่อทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เชิญพระหีบพระบรมศพ ขึ้นประดิษฐานบนพระแท่นแว่นฟ้าหลังพระแท่นสุวรรณเบญจดล เสร็จแล้ว ทหารปืนใหญ่หยุดยิงถวายพระเกียรติ

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ประทับพระราชอาสน์ ก่อนเสด็จฯ ไปทรงวางพวงมาลาที่หน้าพระบรมโกศพระบรมศพ ขณะนั้นพนักงานประโคม มโหระทึก สังข์ แตรฝรั่ง แตรงอน ปี่กลองชนะ ปี่พาทย์ ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ ดุริยางค์ บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี เจ้าพนักงานนิมนต์พระสงฆ์ 10 รูปในจำนวน 100 รูป ขึ้นนั่งยังอาสน์สงฆ์ จากนั้นทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย และเครื่องราชสักการะ กราบถวายบังคมพระบรมศพ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ บูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ที่หน้าพระแท่นมหาเศวตฉัตร ทรงกราบ ประทับพระราชอาสน์ เจ้าพนักงานลาดพระภูษาโยง

ทรงกราบพระบรมโกศ

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ไปทรงทอดผ้าไตร 10 ไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ประทับพระราชอาสน์ ทรงหลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ออกจากพระที่นั่งแล้ว เจ้าพนักงานนิมนต์พระสงฆ์อีกเที่ยวละ 10 รูป จำนวน 9 เที่ยว ขึ้นนั่งยังอาสน์สงฆ์ เสด็จฯ ไปทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ ทรงปฏิบัติเช่นนี้จนครบ 9 เที่ยว

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ ไปทรงกราบพระพุทธที่หน้าเครื่องนมัสการหน้าพระแท่นมหาเศวตฉัตร จากนั้นเสด็จฯ ไปที่หน้าพระบรมโกศพระบรมศพ ทรงกราบ ทรงรับการถวายการเคารพของผู้มาเฝ้าฯ เสด็จฯ ผ่านแถวข้าราชการ ผู้มาเฝ้าฯ ไปที่พระแท่นเตียงพระพิธีธรรม ด้านตะวันออกและด้านตะวันตก ณ มุขหน้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ทรงจุดธูปเทียน เครื่องบูชากระบะมุขที่หน้าเตียงพระสวดพระอภิธรรม

จนกระทั่งเวลา 19.30 น. เสด็จออกจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทลงทางบันไดมุขกระสันทางทิศเหนือ ไปประทับรถยนต์พระที่นั่งที่ประตูกำแพงแก้ว เสด็จฯ กลับ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต

หมายกำหนดการพระราชพิธี

ขณะเดียวกัน สำนักพระราชวัง แจ้งหมายกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท โดยกำหนดการประจำวันตลอด 100 วัน หรือตามกำหนดไว้ทุกข์ จะเริ่มตั้งแต่เวลา 06.00 น. พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม และประโคมย่ำยาม, เวลา 07.00 น. พระพิธีธรรมรับพระราชทานฉันเช้า, เวลา 09.00 น. พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม และประโคม ย่ำยาม

เวลา 11.00 น. พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมฉันเพล, เวลา 12.00 น. พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม และประโคมย่ำยาม, เวลา 15.00 น. พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม และประโคมย่ำยาม, เวลา 18.00 น. ประโคมย่ำยาม, เวลา 19.00 น. พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม, เวลา 21.00 น. พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม และประโคมย่ำยาม

บำเพ็ญพระราชกุศล 7 วัน-15วัน

พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสัตตมวาร (7 วัน) จะมีขึ้นในวันพุธที่ 19 ต.ค. เวลา 17.00 น. พระสงฆ์ 30 รูปสวดพระพุทธมนต์ จบ มีพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 พระ 4 รูปสวดพระธรรมคาถา วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม เวลา 10.30 น. พระสงฆ์ 30 รูปสวดถวายพรพระ รับพระราชทานฉัน มีพระธรรม เทศนากัณฑ์ 1 พระ 4 รูปสวดพระธรรม คาถา ประเคนผ้าไตร พระ 89 รูป เท่าพระชนมพรรษา

พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลปัณรสมวาร (15 วัน) วันพฤหัสบดีที่ 27 ต.ค. เวลา 17.00 น. พระสงฆ์ 10 รูปสวดพระพุทธมนต์ จบ มีพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 พระ 4 รูปสวดธรรมคาถา พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม วันศุกร์ที่ 28 ต.ค. เวลา 10.30 น. พระสงฆ์ 10 รูป สวดถวายพระพร รับพระราชทานฉัน ประเคนผ้าไตรพระ 89 รูป เท่าพระชนมพรรษา สดับปกรณ์

บำเพ็ญพระราชกุศล 50 วัน-100 วัน

พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลปัญญาสมวาร 50 วัน มีขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 1 ธ.ค. เวลา 17.00 น. พระสงฆ์ 30 รูปสวดพระพุทธมนต์ จบ มีพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 พระ 4 รูปสวดธรรมถาคา วันศุกร์ที่ 2 ธ.ค. เวลา 10.30 น. พระสงฆ์ 30 รูปสวดถวายพรพระ รับพระราชทานฉัน มีพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 พระ 4 รูปสวดธรรมคาถา ประเคนผ้าไตรพระ 89 รูป เท่าพระชนมพรรษา

พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร (100 วัน) วันศุกร์ที่ 20 ม.ค. 2560 เวลา 17.00 น. พระสงฆ์ 30 รูปสวดพระพุทธมนต์ จบ มีพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 พระ 4 รูปสวดธรรมคาถา วันเสาร์ที่ 21 ม.ค. 2560 เวลา 10.00 น. พระสงฆ์ 30 รูป สวดถวายพระพร รับพระราชทานฉัน มีพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 พระ 4 รูป สวดธรรมคาถา ประเคนผ้าไตรพระ 89 รูป เท่าพระชนมพรรษา

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน