เมื่อเวลา 04.00 น. วันที่ 16 ต.ค. พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (รอง ผบช.ทท.) นำเจ้าหน้าที่ บก.ทท. บก.สปพ.(191) และบช.ปส. สนธิกำลังปฏิบัติการระดมกวาดล้างกลุ่มผู้มีอิทธิพลและชาวต่างชาติผิวสี เช่น เครือข่ายปลอมธนบัตร เครือข่ายหลอกลวงแต่งงาน เครือข่ายผลิต และปลอมบัตรเครดิต เครือข่ายที่นำเพชรปลอมมาขาย และอาชญากรรมในรูปแบบอื่น ๆ

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นมากกว่า 10 จุด ทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยจับกุมผู้ต้องหา 52 ราย แบ่งเป็นต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต 2 ราย โอเวอร์สเตย์ 11 ราย เป็นเจ้าของเคหะสถาน รับคนต่างด้าวเข้าพักโดยไม่แจ้งเจ้าพนักงาน 1 ราย รับซื้อจำหน่าย หรือรับจำนำสิ่งของที่รู้ว่าต้องห้ามนำเข้าสหราชอาณาจักร คือ บารากุไฟฟ้า 1 อัน 1 ราย, ฉ้อโกง 1 ราย, ยาเสพติด 9 ราย และค้าบริการทางเพศ 27 ราย

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตามนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่ให้ดำเนินการปราบปรามกลุ่มคนผิวสีที่อาจจะเข้ามาก่ออาชญากรรม และสำรวจระบบข้อมูล เนื่องจากกลุ่มคนผิวสีบางกลุ่มเป็นแหล่งฟอกเงิน ค้ามนุษย์ แก๊งสกิมเมอร์ มั่วสุมยาเสพติด แหล่งโสเภณี และกลุ่มคนโอเวอร์สเตย์ หรืออยู่เกินกำหนด ซึ่งกลุ่มคนพวกนี้ถือเป็นปัญหาด้านความมั่นคง ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ประเทศด้านการท่องเที่ยว

หลังจากนี้จะผลักดันผู้ต้องหาทั้งหมดกลับประเทศ ซึ่งการลงพื้นที่กวาดล้างครั้งนี้จะตรวจเก็บดีเอ็นเอเป็นฐานข้อมูลให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) เพื่อป้องกันคนพวกนี้เดินทางเข้าประเทศอีก ยิ่งใกล้วันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 ยิ่งต้องดูแลพื้นที่ให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

พล.ต.ต.สุรเชษญ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ 1 ในผู้ต้องหาทั้ง 52 คน มี 1 คนที่เคยโดนจับในข้อค้ามีโคเคนไว้ในครอบครอง ถูกตัดสินจำคุก 5 ปี แต่พบว่ายังสามารถอยู่ในประเทศ ซึ่งผู้ต้องหายอมรับว่ามีการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบจนสามารถอยู่เมืองไทยต่อได้นั้น เราอาจจะต้องประสานไปทางสตม.ว่าเพราะเหตุใดถึงส่งตัวกลับไม่ได้ หลังจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำให้ดีที่สุด จะตรวจเข้มขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ท่องเที่ยวพัทยา เชียงใหม่ และภูเก็ต ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน