‘ลุงพล-ป้าแต๋น’ เสียงสั่น พูดถึงน้องชมพู่ ลั่นหลานรู้อยู่แล้วลุง-ป้าไม่ได้ทำ สาปแช่งคนร้ายขอให้ฉิบหาย ทนายเปิดแผนสู้ความบริสุทธิ์

เมื่อเวลา 22.20 น. วันที่ 30 ต.ค.66 นายไชย์พล วิภา หรือลุงพล และ นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น ป้าของน้องชมพู่ พร้อมด้วยคณะทนายความจากสำนักกฎหมาย ธรรมรังสี นำโดย นายสุรชัย ชินชัย หัวหน้าทีมทนายความ ที่เดินทางมาให้กำลังใจลูกความ หลังมีกำหนดว่า วันที่ 31 ต.ค.นี้ ศาลจังหวัดมุกดาหารมีนัดอ่านคำพิพากษาคดี “น้องชมพู่”

นายสุรชัย กล่าวว่า เราได้เตรียมตัว เตรียมใจ เพราะคำพิพากษาเป็นได้ทั้งบวกทั้งลบเราก็น้อมรับคำ พิพากษาของศาลเบื้องต้น นอกจากนี้ทีมทนายได้เตรียมหลักทรัพย์ไว้สำหรับการขอปล่อยตัวชั่วคราวของทั้ง 2 คนแล้ว และทีมทนายก็มาให้กำลังใจมาอยู่เคียงข้างเพราะเราร่วมเดินทางมาด้วยกันตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงวันสุดท้ายของศาลชั้นต้น

ประเด็นที่ศาลจังหวัดมุกดาหาร เลื่อนฟังคำพิพากษา คู่ความทุกฝ่ายและจำเลยจะต้องไปที่ศาล โดยศาลก็จะต้องชี้แจงในวันดังกล่าวเลย แต่กรณีที่มีข่าวออกมาว่าเลื่อนอ่านคำพิพากษานั้น ยังไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าเลื่อนยังไม่รู้ชัด จนกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้

ที่ผ่านมา ลุงพลไม่ได้มีเหตุจูงใจที่ต้องกระทำการชั่วช้า ปล่อยให้หลานตัวเองขึ้นไปบนเขา ไม่ให้น้ำ ไม่ให้ข้าว และเสียชีวิตต่อหน้าต่อตา มันไม่มีทางเป็นไปได้ ในฐานะทนายเราหาหลักฐานมาหักล้างว่าลุงพลกับป้าแต๋นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของน้องชมพู่ โดยจุดที่เป็นนิติวิทยาศาสตร์ที่สุด ถ้าหากว่าลุงพลอุ้มน้องชมพู่ขึ้นไปบนเขาจะต้องพบดีเอ็นเอของน้องชมพู่อยู่ในเสื้อผ้าของลุงพลและป้าแต๋นแน่นอน

มีความเป็นไปได้ที่น้องชมพู่จะสนิทสนมกับปลาส้ม สุนัขที่เลี้ยงและเคยให้อาหาร จึงตั้งคำถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่น้องชมพูจะวิ่งเล่นกับสุนัขแล้วทำให้เผลอวิ่งไปไกลจนถึงจุดที่สุนัขอาจจะทิ้งน้องไว้ ทำให้น้องชมพู่ต้องเดินตามยถากรรม และบังเอิญว่าภูเหล็กไฟ เป็นภูเขาที่ไม่มีแหล่งน้ำ จึงทำให้น้องเสียชีวิตเพราะขาดน้ำหรือสารอาหาร ซึ่งประเด็นนี้เราสืบข้อเท็จจริงให้เห็นว่ามันเป็นไปได้

เรายกตัวอย่างในกรณีหลายเรื่องที่เด็กหายและเป็นเด็กอายุเท่ากัน หายไปในช่วงเวลาเท่ากันแต่ปรากฏว่าไปเจอน้อง ในขณะที่มีชีวิตอยู่ เพราะมีน้ำ ระหว่างหลงทางไป ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่นำเสนอแก่ศาลว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่น้องชมพู่จะเดินไปเองโดยที่ไม่มีผู้ใดกระทำ

นอกจากนี้เราก็นำเสนอว่าบุคคลที่จะฆ่ากันได้จะต้องมีเหตุจุงใจ โดยเหตุจูงใจทั่วไปจะต้องมีการขัดผลประโยชน์ แย่งที่ทำมาหากิน หรือแย่งอำนาจบาตรใหญ่ กามอารมณ์ วันเกิดเหตุทั้ง 2 ฝั่งอยู่ด้วยกัน ส่วนเส้นผมที่พบข้างศพน้องชมพู่และบนรถของลุงพล เหมือนเป็นเส้นที่ถูกวางและถูกด้วยของมีคมด้านเดียว ซึ่งได้ไปถามนิติวิทยาศาสตร์ว่ามีดเล่มนี้ มีดีเอ็นเอของลุงพลอยู่หรือไม่ ผลออกมาแล้วก็ไม่ปรากฏดีเอ็นเอของลุงพล

ขณะที่การปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจยังมีข้อกังขา คือไม่มีหมายค้น ขณะขอตรวจรถลุงพล และเมื่อพบแล้วก็ไม่แจ้งผู้ใหญ่บ้าน เพื่อชี้แจงว่าได้นำหลักฐานชิ้นนี้ไปตรวจสอบ โดยได้ตั้งข้อสงสัยว่า เหมือนตำรวจจะหาหลักฐานมาปรักปรำจากผู้ต้องสงสัยกลายมาเป็นผู้ต้องหา

ด้าน นายไชย์พล กล่าวว่า ไม่ว่าจะออกบวกหรือลบ ทั้งตนและป้าแต๋นก็น้อมรับในการตัดสินของศาล หากผลออกมาเป็นด้านลบ ก็จะต้องสู้ไปจนถึงศาลอุทธรณ์แน่นอน ยืนยันว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เราพูดชัดเจนมาตลอดว่า วันที่น้องชมพู่หาย ตนไม่ได้อยู่กับน้อง ทุกวันนี้ยังไม่มีคำตอบเลยว่าสรุปแล้ว ใครเป็นคนฆ่าน้อง โดยการสอบพยานที่ผ่านมาไม่ได้มีการพูดถึงอย่างชัดเจนว่าใครคือคนฆ่าน้องชมพู่

“อยากบอกชมพู่ว่า ชมพู่เป็นหลานคนที่ 5 ของตาชาญ ถ้าฝากถึงน้องได้ตอนนี้น้องอาจจะโตขึ้นแล้วจาก 2 ขวบ เป็น 6 ขวบ บรรดาเครือญาติเราดูแลซึ่งกันและกัน ครอบครัวของลุงกับป้าและครอบครัวของแม่น้องชมพู่ มีความสนิทสนมกันคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันตลอด ถ้าน้องโตมาขนาดนี้ ลุงกับป้าก็คงจะดูแลน้องอยู่ ลุงกับป้าจะทำให้ดีที่สุด ในการติดตามผู้ที่กระทำความผิด ถ้าหากว่ามันมีจริง ซึ่งเราอยากให้น้องได้รับความยุติธรรม“ นายไชย์พล กล่าว

ด้าน นางสมพร กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ถ้าชมพูยังอยู่และรับรู้ได้ อยากบอกน้องชมพู่ว่า ลุงกับป้าโดนใส่ร้ายป้ายสี ชมพู่รู้อยู่แล้วว่าลุงกับป้าไม่ได้ทำ อยากให้ชมพู่ดลจิตดลใจให้คนที่ใส่ร้ายป้ายสีลุงกับป้า ขอให้มันฉิบหายวายวอดไปเลย ถ้าน้องได้ยินจริง มั่นใจว่าชมพู่รู้อยู่แล้วว่า ลุงกับป้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเรื่องนี้

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน