ตำรวจ, กสทช. และดีเอสไอ สนธิกำลังทลาย ฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่างชาติ ใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ กลางเมืองนครศรีธรรมราช จับคนร้ายต่างชาติได้เกือบ 100 คน

วันที่ 29 มี.ค.2567 จากนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กวดขัน ปราบปรามอย่างเด็ดขาดกับอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก พล.ต.อ.กิตต์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยตำรวจในพื้นที่บูรณาการหาข่าว ปราบปรามขยายผลให้ถึงผู้บงการ ยึดทรัพย์ และนำตัวมาดำเนินคดีอย่างเคร่งครัด ซึ่งได้ปรากฏทางการสืบสวนพบว่า มีกลุ่มแก๊งค์อาชญากรรมข้ามชาติ มาตั้งฐานอยู่ทางภาคใต้ จึงได้สั่งการให้

พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผช.ผบ.ตร., พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช. สอท., พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8, พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 และ พล.ต.ต.สมชาย ซื่อต่อตระกูล ผบก.ภ.จ.นครศรีธรรมราช ไปบูรณาการทำงานร่วมกับทาง กสทช. โดย พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กสทช.ด้านกฏหมาย และประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ, นายไตรรัตน์ วิริยะศิรติกุล รกน. เลขาธิการ กสทช และพ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รกน. อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งทำให้พบการเคลื่อนไหวของกลุ่มแก๊งค์ตอลเซ็นเตอร์ชาวต่างชาติในเขตพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช

จึงได้ร่วมกันรวบรวมพยานหลักฐาน นำไปสู่การจับกลุ่มแก๊งต์คอลเซ็นเตอร์ที่เป็นชาวต่างชาติได้จำนวน 51 คน และชาวไทย 12 คน รวม 63 คน ยึดของกลางประกอบด้วย 1. คอมพิวเตอร์ จำนวน 192 เครื่อง 2.มือถือและซิมผี จำนวน 854 เครื่อง 3. เราเตอร์ กระจายสัญญาณ จำนวน 22 เครื่อง 4.บัญชีม้า จำนวน 342 เล่ม ซึ่งเป็นการกระทำที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ, พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าวฯ, พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี, พ.ร.บ.โทรคมนาคมฯ, พ.ร.บ.ศุลกากรฯ และ ประกาศ กสทช. เรื่อง การยืนยันตัวตนและข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บริการฯ และจะมีการขยายผลการกระทำผิดไปถึงทุกคนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดำเนินการยึดทรัพย์อย่างเด็ดขาด

พล.ต.ท.ธัชชัย กล่าวว่า หลังจากได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.กิตต์รัฐฯ รรท.ผบ.ตร. แล้ว พล.ต.ท.วรวัฒน์ฯ ผบช.สอท. แสะ ผบก.สอท.5 ได้มีการทำงานร่วมกับทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ กสทช. ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ติดตามตรวจสอบความเคลื่อนไหวของกลุ่มแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่จ.นครศรีธรรมราช จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอหมายค้นพร้อมกัน 3 จุด ในพื้นที่ ต.จันดี อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช พบรังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่างชาติ จำนวน 3 แห่งใกล้เคียงและเชื่อมโยงกัน ประกอบด้วย โรงแรมและบ้านพักใน และขยายผลไปยัง โกดังจำหน่ายสินค้าญี่ปุ่นมือสอง ในพื้นที่ อ.นาบอน จ.นครศรีธธรมราช พบผู้ต้องหาและของกลางจำนวนมากตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น

ถือเป็นองค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่ โดยในครั้งนี้ทางทูตตำรวจจีนและญี่ปุ่น ได้เข้าร่วมตรวจสอบการกระทำผิดเพื่อนำไปสู่การขยายผลการกระทำผิดในประเทศจีนและญี่ปุ่นต่อไป ซึ่งการจับกุมในครั้งนี้เป็นการตอบสนองนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่ง พล.ต.อ.กิตต์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการ ผบ.ตร. ได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

พล.ต.อ.ณัฐธร กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบข้อมูลการสื่อสารและการใช้อินเทอร์เน็ตก่อนเข้าทำการจับกุม รวมทั้งการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลที่บันทึกไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ ประกอบการซักถามหลังการตรวจค้นจับกุมพบว่า มิจฉาชีพกลุ่มนี้ทำการติดต่อหลอกลวงเหยื่อหลากหลายวิธีในหลายประเทศ โดยวิธีการหนึ่งที่คนร้ายใช้ คือ จะทำการหลอกลวงเหยื่อผ่านช่องทางโซเชียล มีเดีย โดยเฉพาะแอป Telegram ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นตัวกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตสื่อกลาง

โดยคนร้ายจะเชิญชวนเหยื่อให้ร่วมแนะนำ รีวิว โรงแรม, รีสอร์ท หรือ ที่พักต่างๆ แล้วแจ้งว่าได้รับรางวัลตอบแทนเป็นตั๋วเครื่องบินหรือที่พักฟรี และให้เหยื่อกรอกข้อมูลส่วนบุคคลต่างๆ พร้อมส่งข้อความแนบลิงค์ให้กดยืนยันเพื่อรับรางวัล เมื่อเหยื่อหลงกลกดลิ้งค์ก็จะเป็นการเริ่มการติดตั้งโปรแกรมเข้ามือถือ แล้วคนร้ายจะใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้ก่อนหน้า ไปกระทำการเข้าถึงข้อมูลบัญชีธนาคาร โมบาย แบงก์กิ้ง และหลอกดูดเงินเหยื่อในลำดับถัดไป หรือใช้วิธีการหลอกให้เหยื่อร่วมลงทุนด้วยวิธีต่างๆ

ในการนี้ชุดจับกุม ทั้งตำรวจ กสทช.และ ดีเอสไอ ได้ทำการรื้อถอนและตรวจยึดอุปกรณ์ทางเทคโนโลยี, คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ, รวมทั้งซิมการ์ด (ซิมผี) มากกว่า 1,300 ซิม ซึ่งไม่ได้ลงทะเบียนหรือลงทะเบียนไม่ถูกต้องตามกฎหมายและประกาศ กสทช.กำหนด ไปตรวจสอบทางเทคนิคเพื่อขยายผลไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน