นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ แถลงผลงาน ผลการทำงานช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ว่า ในส่วนของเศรษฐกิจฐานรากมุ่งให้ชุมชนท้องถิ่นในจังหวัดต่างๆ กินดี-อยู่ดี และมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยการดำเนินมาตรการทางการตลาด ภายใต้แนวทางการตลาดนำการผลิต ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวดีขึ้น ราคาข้าวเปลือกทุกชนิด โดยเฉพาะหอมมะลิ 18,700 บาท/ตัน ราคาสูงสุดในรอบ 10 ปี ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการของกระทรวงพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นการระบายสต๊อกข้าวรัฐบาลจนเกือบหมด การหาตลาดต่างประเทศรองรับผลผลิตได้อย่างต่อเนื่อง อาทิ จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และภายในเดือนมิ.ย. กระทรวงจะนำเสนอมาตรการดูแลข้าวทั้งระบบต่อนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มีเป้าหมายผลักดันราคาข้าวไม่ให้ต่ำกว่าช่วงที่ผ่านมา

รวมทั้งจะมีกาหารือกับสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เพื่อเตรียมความพร้อมการรับมือผลผลิตทางการเกษตรที่จะออกมาในอนาคตร่วมกันเพราะเกษตรกรมีแนวโน้มจะปลูกมากขึ้นเพราะราคาค่อนข้างดี เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ราคาหน้าโรงงาน สูงกว่า 10 บาท/ก.ก. มันสำปะหลัง หัวมันเชื้อแป้ง 25% ก.ก. ละ 3.15 บาท ปีที่ผ่านมา 1.7 บาท ราคาส่งออกมันเส้น 6% แป้งมัน 4% จากเดือนก่อนหน้า ส่วนการแก้ปัญหาราคาปาล์มน้ำมันก็จะประชุมร่วมกับกระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อยกระดับราคาต่อไป

สำหรับผลไม้ ได้เริ่มดำเนินการส่งเสริมการตลาดทุเรียนเป็นสินค้านำร่องในการค้าออนไลน์ ซึ่งกำลังจะขยายผลต่อเนื่องไปยังสินค้าอื่นๆ เช่น ลำไย มังคุด โดยเน้นการค้าระบบออนไลน์กับผู้ค้าออกไลน์ระดับโลก เช่น อาลีบาบา แม้ว่าจะมีคนโจมตีว่าทำให้เกษตรกรไทยเป็นทาสต่างชาติ ซึ่งที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วไม่เป็นความจริง เนื่องจากเกษตรกรค้าขายได้มากขึ้นด้วยตนเอง รวมทั้งการค้าผ่าน Thaitrade Shop ปัจจุบัน Thaitrade มีผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิก 25,000 ราย มีผู้ซื้อจากทั่วโลก 1.7 แสนราย จำนวนสินค้า 2.5 แสนรายการ และมีมูลค่าการซื้อขายแล้วกว่า 5,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐ ขณะนี้ได้จัดหาร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ จำนวน 28,705 ร้านค้าทั่วประเทศ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ยอดขายกว่า 30,000 ล้านบาท ปัจจุบันร้านธงฟ้าประชารัฐที่ติดตั้งเครื่อง EDC ไปแล้ว 30,000 ร้านค้า ครอบคลุม 7,500 ตำบลทั่วประเทศ ทั้งนี้ จะติดตั้งให้ครบ 4 หมื่นร้านค้า ภายในเดือนมิ.ย. 2561 นอกจากนั้นในเร็วๆ นี้จะ กระทรวงฯ ได้กำหนดให้มีการเพิ่มสัดส่วนสินค้าชุมชนในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐด้วย โดยจะให้ผู้ถือบัตรสามารถใช้จ่ายซื้อสินค้าได้หลากหลายมากขึ้น เช่น ร้านค้าในตลาดสด ร้านขายผัก เขียงหมู ร้านก๋วยเตี๋ยว ผ่านแอพพลิเคชั่น

นอกจากนี้ ยังมีการการจัดกิจกรรมธงฟ้าราคาประหยัด ลด 20-40% รวม 1,800 ครั้งทั่วประเทศ ลดค่าครองชีพประชาชนจำนวน 1.3 ล้านคน ลดค่าครองชีพได้จำนวน 113 ล้านบาท มูลค่าจำหน่าย 300 ล้านบาท โครงการสร้างธุรกิจและสร้างงานให้แก่ผู้มีรายได้น้อย อาทิ โครงการแฟรนไชส์สำหรับผู้มีรายได้น้อย โดยนำเสนอแฟรนไชส์ที่มีมูลค่า 10,000-50,000 บาท

นายสนธิรัตน์ กล่าวอีกว่า สำหรับทิศทางการทำงานในอนาคตของกระทรวงพาณิชย์ จะยังเดินหน้า นโยบายเชิงยุทธศาสตร์ ได้แก่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ผ่านโครงการต่างๆ เช่น ตลาดชุมชน ร้านธงฟ้าประชารัฐ ปัจจุบัน 28,705 ร้านค้า จะขยายเป็น 100,000 ร้านค้า ภายใน 3 ปีรวมทั้งดูแลค่าครองชีพและยกระดับราคาสินค้าเกษตร บ่มเพาะคนตัวเล็กคนตัวเล็กและคนด้อยโอกาส ให้เข้าถึงการทำธุรกิจหรือการทำมาค้าขายให้มากขึ้น เช่น การสนับสนุนให้สามารถใช้ QR Code ในร้านค้าที่หลากหลาย และภายในปี 2562 ตั้งเป้าให้ “MOC Biz Club ช่วยยกระดับ Micro SMEs จังหวัดละ 100 ราย” ซึ่งจะส่งผลให้มี Micro SMEs ที่มีศักยภาพเพิ่มขึ้น 7,700 ราย ทั่วประเทศ สำหรับ Franchise สร้างอาชีพ ด้วยการจับคู่ Franchise กับผู้มีรายได้น้อย ตั้งเป้าสร้างอาชีพได้ 20,000 รายภายในปีนี้

ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่ อาทิ การค้าออนไลน์ ด้วยการยกระดับ Thaitrade.com ซึ่งเป็น National E-Marketplace Platform ของไทยให้ก้าวสู่การเป็น Platform ชั้นนำระดับสากล โดยมี เป้าหมายการค้าออนไลน์ผ่าน Thaitrade.com ขยายตัวเป็น 1 หมื่นล้านบาท ภายใน 3 ปี จากปัจจุบัน 5 พันล้านบาท และตั้งเป้าการส่งออกปี 2561 เติบโต 8% เป็นอย่างน้อย

การปฏิรูปกระทรวงฯ เพื่อรองรับเศรษฐกิจยุคใหม่ โดยมีเป้าหมายอนาคตให้เป็น “E-Service ทั้งระบบ” ภายในปี 2562 และสนับสนุนให้ “EoDB ติด TOP 20” ภายใน 3 ปี (จากอันดับที่ 26 ในปัจจุบัน) รวมทั้งยกระดับและปรับภารกิจกรม โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่าง เน้น e-Commerce กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เน้น Service (ธุรกิจบริการ) และให้ความสำคัญในการพัฒนา Big Data เพื่อใช้พลังข้อมูลในการบริหารนโยบายและขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวง

น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ผลงานด้านการค้าระหว่างประเทศ การส่งออกเริ่มฟื้นตัว โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัวละ 11.5% (มูลค่ารวม 81,780 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวสูงสุดในรอบ 7 ปีผ่านการเร่งรัดขยายตลาดส่งออกเชิงรุก ทั้งตลาดเฉพาะกลุ่ม และตลาดเมืองรอง เน้นการส่งเสริมสินค้ารายคลัสเตอร์ มีผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายได้รับการส่งเสริมไปขยายตลาด 2,850 ราย เกิดมูลค่าการสั่งซื้อประมาณ 47,000 ล้านบาท

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน