นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัทเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ XT (เอ็กซ์ที) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ฉีกกฎเกณฑ์ของคอนโดมิเนียมใหม่ของประเทศไทย โดยเปิดให้ใช้พื้นที่ส่วนกลางร่วมกันในทุกโครงการของ XT (ขึ้นอยู่กับมติของที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมแต่ละโครงการด้วย) เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ามิลเลนเนียล อายุ 21-30 ปี ที่ชื่นชอบสังคมของการแบ่งปัน ในเวลาเดียวกันก็มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ทำให้บริษัทได้พัฒนาแปลนห้องเพื่อให้ลูกค้ากลุ่มนี้สามารถเลือกเลือกรูปแบบห้องได้ 6 แบบ

โดยปีนี้ได้เปิดตัวคอนโด XT พร้อมกัน 3 โครงการ รวม 3,500 ยูนิต มูลค่ารวม 21,000 ล้านบาท เป็นห้องชุดพร้อมตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ทั้งบิวต์อินและลอยตัว ประกอบด้วย XT เอกมัย ซึ่งร่วมทุนกับ บริษัท โตคิว คอนสตรัคชัน จำกัด ตั้งอยู่ห่างจากสถานีบีทีเอสเอกมัย 1.5 ก.ม. บนพื้นที่ 2 ไร่ สูง 38 ชั้น มูลค่าโครงการ 3,540 ล้านบาท ขนาดห้องเริ่มที่ 30 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.59 ล้านบาทขึ้นไป หรือเฉลี่ยตร.ม.ละ 185,000 บาท มีจำนวน 537 ยูนิต จุดเด่นที่พื้นที่ส่วนกลางที่ออกแบบให้ปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่ทำงานหรือเพื่อการเล่นได้ ซึ่งเฉพาะโครงการนี้บริษัทได้เปิดขายให้ต่างชาติ คือ ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์และจีนไปแล้วบางส่วน การตอบรับค่อนข้างดี

ส่วนอีก 2 ทำเลประกอบด้วย โครงการ XT ห้วยขวาง ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินห้วยขวาง 75 เมตร บนพื้นที่ 6 ไร่ เป็นอาคารสูง 43 ชั้น มูลค่ารวม 7,530 ล้านบาท ประกอบด้วยห้องชุดรวม 1,404 ยูนิต ขนาดห้องเริ่มที่ 27.75 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.69 ล้านบาทขึ้นไป หรือตร.ม.เฉลี่ย 165,000 บาท จุดเด่นอยู่ที่ส่วนกลางภายใต้แนวคิดครีเอทีฟสตูดิโอ

และโครงการ XT พญาไท บนถนนศรีอยุธยา ห่างจากสถานีแอร์พอร์ตลิงก์ ราชปรารภ 500 ม. และ สถานีบีทีเอส พญาไท 600 ม. บนพื้นที่เกือบ 4 ไร่ ประกอบด้วยอาคารสูง 40 ชั้น และ 35 ชั้น มูลค่าโครงการ 10,800 ล้านบาท ขนาดห้องชุดเริ่มที่ 23.81 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.9 ล้านบาท หรือเฉลี่ยต่อตร.ม. 168,000 บาท จุดเด่นของพื้นที่ส่วนกลางอยู่ที่ครีเอทีฟ เพลย์กราวด์ โดยบริษัทเตรียมเปิดขายพร้อมกันในวันที่ 3-5 ส.ค.นี้ ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน อย่างไรก็ดี บริษัทคาดว่าจะมีทั้งกลุ่มลูกค้าที่ซื้ออยู่เอง 60% และซื้อเพื่อลงทุน 40% ทั้งนี้ บริษัทได้กันพื้นที่บางชั้นเพื่อขายต่างชาติ คาดว่าจะมีสัดส่วนยอดขาย 40% ส่วนที่เหลือเป็นคนไทย และคาดว่าจะได้ยอดขาย 50% ภายในสิ้นปีนี้

“กลุ่มมิลเลนเนียลมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยให้ความสำคัญกับการทำงานในรูปแบบไม่หนักเกินไป หรือเวิร์กสมาร์ต มองเวลาเป็นสิ่งสำคัญ เงินทองไม่ได้หาลำบาก ประสบการณ์สำคัญมากกว่า มีคาแรกเตอร์เห็นอะไรดีไปหมด ไม่ค่อยเดินตามคนอื่น แต่ชอบทำอะไรล้ำๆ ดังจะเห็นได้ว่ามีสตาร์ตอัพเกิดขึ้นมากมาย เพราะคนกลุ่มนี้ไม่ชอบนิ่ง ที่สำคัญพฤติกรรมการใช้ชีวิตจะอยู่กับสมาร์ตโฟนตลอดเวลา”นายปิติ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน