นางอาภา อรรถบูรณ์วงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง 2561 เครื่องจักรทั้ง 4 ตัวล้วนเป็นบวก ทั้งการส่งออก ท่องเที่ยว การลงทุนภาครัฐ และโดยเฉพาะการบริโภคในประเทศก็มีสัญญานดีขึ้นในหลายภูมิภาคของไทย ประกอบกับการเมืองมีความชัดเจนในการจัดการเลือกตั้ง ซึ่งจะเกิดขึ้นในปี 2562 ทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมันมากขึ้นและนำมาสู่การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ทั้งที่ครึ่งปีแรกยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยเติบโตในเชิงมูลค่าแล้ว 30% และเติบโตเชิงจำนวนยูนิต 26%

ด้านนายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า จากภาพรวมตลาดหุ้นที่ปรับตัวดีขึ้น และถ้ายังยืนระยะได้เช่นนี้ต่อไป จะมีผลเชิงบวกจากตลาดทุนสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์แน่นอน ส่วนปัจจัยที่ต้องระวังคือสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา ทำให้มีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการการค้าของประเทศมหาอำนาจ ขณะเดียวกันภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงที่ผ่านมามีนักลงทุนจาก 3 ชาติหลัก คือญี่ปุ่น จีน และสิงคโปร์ เข้ามาลงทุนจำนวนมาก ซึ่งแนวโน้มจากนี้ยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจุบันการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในใจกลางกรุงเทพฯ แนวโน้มจะเป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก เช่นบางซื่อ และ มักกะสัน เป็นต้น

ด้านนายวสันต์ เคียงสิริ อุปนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยภาพรวมตลาดบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑลจากนี้น่าเป็นห่วง เนื่องจากมีที่ดินให้พัฒนาโครงการบ้านแนวราบน้อยลง และบางพื้นที่ติดข้อกำหนดกฎหมายผังเมือง ซึ่งในอนาคตจะมีผลต่อราคาบ้านเนวราบเร่งตัวขึ้น ทั้งนี้ ถ้าดูจากสถิติยอดโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 7 เดือนแรก ประมาณ 45,000 ยูนิต พบว่าเป็นบ้านเดี่ยว 15,000 ยูนิต และทาวน์เฮาส์ประมาณ 30,000 ยูนิต ในขณะที่โครงการแนวราบเปิดตัวใหม่ในช่วง 7 เดือนแรก อยู่ที่ราว 15,000 ยูนิต ซึ่งในจำนวนนี้คาดว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว 1 ใน 3 หรือประมาณ 5,000 ยูนิต ที่เหลือเป็นทาวน์เฮาส์ ดังนั้นมีโอกาสที่ในอนาคตราคาบ้านแนวราบมีโอกาสจะเร่งตัวสูงขึ้นแน่นอน เนื่องจากปริมาณสินค้าที่เข้าสู่ตลาดน้อยกว่าความต้องการอยู่มาก

อย่างไรก็ดี ล่าสุด สมาคมอาคารชุดไทย สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย และสมาคมบ้านจัดสรร เตรียมจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ ครั้งที่ 39 ระหว่างวันที่ 4-7 ต.ค.นี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยจะมีผู้ประกอการกว่า 200 ราย เข้าร่วมงาน จะมีทั้งโครงการใหม่และสินค้าในสต็อกเดิม โดยแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 35% บ้านเดี่ยว 20% ทาวน์เฮาส์ 15% และอื่นๆ เช่น บ้านแฝด บ้านมือสอง ที่ดินเปล่า 30% คาดว่าจะมีผู้มาเดินงานกว่า 1 แสนคน มียอดจองและขายมากกว่า 4,000 ล้านบาท และมียอดขายต่อเนื่องหลังงานอีกไม่น้อยกว่า 8,000 ล้านบาท รวมไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน