นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH เปิดเผยว่า ทาทามองแนวโน้มราคาเหล็กไตรมาส 4 ปี 2561/62 (ม.ค.-มี.ค. 2562) จะมีเสถียรภาพมากขึ้น ไม่ผันผวนเหมือนก่อนหน้านี้ โดยคาดราคาจะทรงตัวอยู่ที่ 80 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่งผลให้ผู้ใช้เหล็กมีความต้องการสั่งซื้อมาสต๊อกไว้ ปัจจุบันมีอัตราการใช้กำลังผลิตที่ 70-75% หรือมีปริมาณการผลิต 1.1-1.2 ล้านตันต่อปี จากกำลังการผลิตทั้งหมด 1.7 ล้านตันต่อปี

“ธุรกิจเหล็กต้องจับตาดูภาวะการแข่งขันหลังเทศกาลตรุษจีนว่า เหล็กจีนจะมีทิศทางเป็นอย่างไร จากที่ผ่านมาการส่งออกเหล็กจีนทรงตัว ขณะที่เวียดนามและมาเลเซียผลิตเหล็กแท่งและเหล็กลวดคาร์บอนต่ำเข้ามาแข่งขันในตลาด ทำให้มีการสั่งซื้อเหล็กจากทั้ง 2 ประเทศเข้ามาเป็นจำนวนมาก รวมทั้งต้องติดตามผลการเลือกตั้งในประเทศว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะมีเสถียรภาพเป็นอย่างไร เพราะมีผลต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจสั่งซื้อเหล็กของลูกค้า รวมถึงตัวแทนจำหน่ายในประเทศชะลอลงมาก่อนหน้านี้ เนื่องจากยังคงเฝ้าจับตาสถานการณ์การเมืองในประเทศอย่างใกล้ชิด”

ทั้งนี้ แม้ 9 เดือนของปี 2561/62 ที่ผ่านมา (เม.ย.-ธ.ค. 2561) บริษัทมียอดขายเหล็กเพียง 849,500 ตัน ขาดทุนกว่า 70 ล้านบาท เนื่องจากการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษจากกรณีเตาหลอมระเบิดที่บันทึกในช่วงไตรมาส 3 ของงวดปี 2561/62 จำนวน 125 ล้านบาท แต่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของงวดปี 2561/62 (ม.ค.-มี.ค.2562) จะไม่มีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษ ส่งผลให้แรงกดดันผลการดำเนินงานน้อยลง อาจบันทึกการตั้งสำรองราว 60 ล้านบาท หากกฎหมายคุ้มครองแรงงานเรื่องเงินชดเชยให้พนักงานกรณีเกษียณอายุ มีผลบังคับใช้ทันภายในวันที่ 30 มี.ค. 2562 แต่หากบังคับใช้ไม่ทัน บริษัทจะบันทึกในงวดปี 2562/63 แทน โดยบริษัทมั่นใจว่าผลการดำเนินงานงวดปี 2561/62 ทั้งปี (เม.ย. 2561-31 มี.ค. 2562) จะสามารถพลิกทำกำไรได้

นอกจากนี้ บริษัทยังปรับกลยุทธ์การขายด้วยการผลักดันการส่งออกมากขึ้น หลังจากความต้องการใช้เหล็กในประเทศชะลอตัวจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ที่ยังลงทุนไม่มากนัก ขณะที่ตลาดต่างประเทศมีความต้องการใช้เหล็กขยายตัว บริษัทจึงปรับแผนธุรกิจเน้นการส่งออกมากขึ้นในกัมพูชา ลาว อินโดนีเซีย และอินเดีย คาดว่าสัดส่วนการส่งออกจะเพิ่มขึ้นเป็น 11-12% ของยอดขายรวม จากเดิมอยู่ที่ 7-10% ช่วยเพิ่มยอดขายเหล็กงวดปี 2561/62 เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.21-1.25 ล้านตัน

นายราจีฟ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในการเข้าทำธุรกรรมและการจัดตั้งผู้บริหารของบริษัทร่วมทุนที่จะมีตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานบัญชีและการเงิน (CFO) จะมาจากกลุ่ม HBIS ของจีน และรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานบัญชีและการเงิน มาจากกลุ่มทาทาสตีล

“การที่กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ T S Global Holdings Pte. Ltd. (TSGH) ที่ถือหุ้นอยู่ 67.90% ทำสัญญาขายหุ้นให้กับ Hebsteel Global Holding Pte. Ltd. ที่เป็นบริษัทย่อยของ HBIS Group Co., Ltd. (HBIS) ในราคา 0.79 บาท/หุ้น สูงกว่าราคาบนกระดานเพื่อขายให้แก่บริษัทร่วมทุนที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ในประเทศสิงคโปร์โดยนิติบุคคล ซึ่ง HBIS และ TSGH ร่วมทุนกันในสัดส่วน 70:30 จะใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือนในการปิดดีลในครั้งนี้ พร้อมสรุปแผนกลยุทธ์การดำเนินงานและปรับโครงสร้างของบริษัทใหม่ให้แล้วเสร็จ”นายราจีฟ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน