พ.ต.พญ.จัณจิดา รัตนภูมิภิญโญ กรรมการ บริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จากัด (มหาชน) หรืออาร์บีเอฟ เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายวัตถุที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร ประกอบด้วยวัตถุแต่งกลิ่นและรส อาทิ ไซรัป หรือน้ำเชื่อมกลิ่นต่างๆ สำหรับร้านกาแฟ รวมถึงแป้งประกอบอาหาร เกล็ดขนมปัง เครื่องปรุงรส ซอสและน้ำจิ้ม สีผสมอาหาร ผลิตภัณฑ์อบแห้ง ผลิตภัณฑ์แช่แข็ง พืช ผลไม้ และซื้อมาและจำหน่ายไปซึ่งสินค้าประเภทเคมีอาหาร อาทิ สารกันบูด สารกันรา กรดมะนาว เป็นต้น รวมถึงนมผง และปลอกไส้กรอก โดยซื้อจากผู้ผลิตรายอื่น หรือนำเข้าจากต่างประเทศ มาจำหน่ายให้กับลูกค้า ซึ่งเกือบ 100% เป็นฐานลูกค้าในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งโรงงานผลิตอาหารและเชนร้านอาหาร

โดยจำหน่ายสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัท ประกอบด้วย อังเคิลบาร์นส์, เบสท์ โอเดอร์ ซุปเปอร์-ไฟนด์, ก๊อปจัง, เนอร์มาย่า, เฮอิโย, แองเจลโล และอร่อยมากๆ ซึ่งมีทั้งผลิตพรีเมียม และไฟลท์ติ้งแบรนด์ เพื่อให้ครอบคลุมในทุกกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนยังมีการทำตลาดในต่างประเทศ ทำให้เห็นศักยภาพของตลาดที่ยังเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย และเวียดนาม ประกอบกับด้วยต้นทุนค่าขนส่งจากประเทศไทย ทำให้เสียเปรียบด้านการแข่งขันราคา ทำให้บริษัทตัดสินใจเข้าไปลงทุนเปิดโรงงานผลิต และคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องการผลิตได้ในไตรมาส 2 ปีนี้ นอกเหนือจากโรงงานผลิตในไทย ซึ่งปัจจุบันมีถึง 7 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ พระนครศรีอยุธยา และเชียงใหม่

นอกจากนี้ยังรับจ้างผลิตสินค้าประเภทเดียวกันนี้ให้กับห้างค้าปลีกในประเทศแล้ว ยังรับจ้างผลิตให้กับตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศด้วย อีกทั้งล่าสุดได้ผลิตอาหารแช่แข็งเพื่อจำหน่ายในช่องทางร้านอาหารบริการด่วน (QSR) ในต่างประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และจีนด้วย อาทิ ข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวเหนียวทุเรียน และอาหารอิตาเลียน เป็นต้น โดยจุดแข็งของบริษัทซึ่งมีทีมงานนักวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านอาหาร (Food Science) กว่า 50 คน ทำให้บริษัทสามารถพัฒนาส่วนผสมอาหาร เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง

โดยเฉพาะทิศทางการรุกธุรกิจในปีนี้ โดยในส่วนของในประเทศไทย ซึ่งปีนี้มีสัญญาณบวกหลายอย่าง โดยเฉพาะจะมีจัดการเลือกตั้ง อีกทั้งบริษัทได้รับงานใหม่ๆ จากลูกค้า ดังนั้นกลยุทธ์การตลาดในปีนี้จะมีการออกสินค้าใหม่ เช่น น้ำเชื่อม ที่มีน้ำตาลน้อย หรือไม่มีน้ำตาลเลย หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้แทนไขมันไม่อิ่มตัว (trans fat) เป็นต้น เพื่อป้อนโรงงานผลิตอาหารอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ต่างประเทศได้มีการจัดตั้งทีมการตลาดและการขายซึ่งเป็นคนท้องถิ่นเนื่องจากรู้พฤติกรรมผู้บริโภคเป็นอย่างดี ทั้งนี้จะให้ความสำคัญในการรุกตลาดทั้งในประเทศอินโดนีเซีย และเวียดนาม เพื่อรองรับโรงงานที่กำลังจะเดินเครื่องการผลิตในปีนี้ ในขณะที่ประเทศจีน ล่าสุดได้เข้าไปตั้งสำนักงานสาขาแล้วเพื่อรุกตลาดอย่างจริงจังเช่นเดียวกัน

ขณะเดียวกันล่าสุดบริษัทเตรียมนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในต่างประเทศมากขึ้น โดยมี บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (เอพีเอ็ม) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 2,000 ล้านบาท ชำระแล้ว 1,480 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานในปี 2560 มีรายได้รวม 2,900 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 400 ล้านบาท ทั้งนี้ในส่วนของรายได้แบ่งเป็น 2,800 ล้านบาท จากธุรกิจหลักคือผู้ผลิตและจำหน่ายวัตถุที่ใช้เป็นส่วนผสมอาหาร และอีก 100 ล้านบาท เป็นรายได้อื่นๆ โดยเฉพาะรายได้จากธุรกิจโรงแรม 2 แห่ง ซึ่งบริษัทได้มีการลงทุนไปก่อนหน้านี้ ประกอบด้วยโรงแรมไอบิส เชียงใหม่ และโรงแรมโนโวเทล จ.ชุมพร

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน