สทนช. เล็งชงแผนเสนอนายกฯ แก้วิกฤติน้ำน้อยฤดูฝน จ่อคุมการใช้น้ำ

วันที่ 22 ก.ค. นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 8/2562 ว่า ที่ประชุมได้พิจารณามาตรการรับมือภัยแล้งในช่วงฤดูฝน เพื่อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีโดยเร่งด่วนทั้งมาตรการเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาวให้เข้มข้นมากขึ้น

โดยมาตรการเร่งด่วน ได้แก่ มาตรการเร่งด่วน ได้แก่ 1.ตั้งศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤติ (สทนช.) ในส่วนกลาง เพื่อบูรณาการกับศูนย์ปฏิบัติการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (มท. กส. กห.) และของจังหวัดอย่างใกล้ชิด เพื่อรายงานสถานการณ์ต่อนายกรัฐมนตรี 2.ปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่เหนือและท้ายอ่างเก็บน้ำ

3. สนับสนุนน้ำอุปโภคบริโภคจากแหล่งน้ำใกล้เคียงในพื้นที่เสี่ยง 4. เร่งรัดขุดลอกเพิ่มความจุแหล่งน้ำต่างๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ประกาศภัยแล้ง-แล้งซ้ำซากจำนวน 144 โครงการ วงเงิน 1,226 ล้านบาท 5.ปรับแผนการขุดเจาะ และซ่อมแซมบ่อบาดาล 6.กำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรหรือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง เช่น การชดเชย การเยียวยา การสร้างอาชีพ เป็นต้น 7.รณรงค์การใช้น้ำอย่างประหยัด สร้างการรับรู้สถานการณ์น้ำทุกภาคส่วนต่อเนื่อง

มาตรการระยะสั้น 1.เร่งรัดการก่อสร้างและซ่อมแซมฝายชะลอน้ำบริเวณต้นน้ำในเขต 67 จังหวัด จำนวน 30,000 แห่ง งบประมาณ 3,000 ล้านบาท 2.ทบทวนการคาดการณ์ปริมาณน้ำฝน น้ำท่าที่ไหลเข้าอ่าง และน้ำในแม่น้ำ ในช่วงวันที่ 15 ก.ค.-31 ต.ค. 62 เพื่อวางแผนการใช้น้ำฤดูฝนนี้และฤดูแล้งปี 62/63 3.สำรวจความต้องการใช้น้ำในแต่ละพื้นที่ พร้อมจัดเตรียมบุคคลากร วัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกล รถบรรทุกน้ำและเครื่องมื่อเพื่อสนับสนุนการจัดสรรน้ำตามลำดับความสำคัญ เน้นน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคเป็นหลัก ควบคู่กับการเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค

4.บริหารจัดการน้ำฝนที่ตกบริเวณพื้นที่ด้านท้ายแหล่งเก็บกักน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเก็บกับน้ำให้ได้มากที่สุด และนำน้ำที่จะระบายทิ้งกลับมาใช้ใหม่ 5.ทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด บูรณาการข้อมูลให้เป็นเอกภาพทั้งระดับนโยบาย หน่วยงานปฏิบัติด้านน้ำ การเมืองท้องถิ่น ภาคประชาชน

มาตรการระยะยาว ได้แก่ 1.เร่งรัดโครงการแหล่งน้ำตาม Area based และแผนแม่บทน้ำ 20 ปี 2.เชื่อมโยงโครงข่ายน้ำในพื้นที่ท่วม-แล้งซ้ำซาก เพื่อให้เกิดความสมดุลด้านน้ำ และ 3.การกำหนดพื้นที่การเพาะปลูกให้สอดคล้องกับแหล่งน้ำและปริมาณน้ำต้นทุน

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อนทั้งนี้ ยอมรับว่าแล้งที่ผ่านมาคือ 1 พ.ย.2561-30 เม.ย.2562 มีการจัดสรรน้ำเกินแผนที่วางไว้ทุกลุ่มน้ำ ทั่วประเทศ 19,609 ล้านลบ.ม. เกินแผน 3,589 ล้านลบ.ม. ได้แก่ ลุ่มเจ้าพระยา จัดสรรน้ำ 9,345 ล้านลบ.ม. หรือจัดสรรน้ำเกิน 20% จากแผน 7,772 ล้านลบ.ม. ลุ่มน้ำภาพตะวันตก มีการจัดสรรน้ำ 5,133 ล้านลบ.ม. หรือจัดสรรน้ำเกิน 31% จากแผน 3,910 ล้านลบ.ม.

ลุ่มน้ำภาคใต้ มีการจัดสรรน้ำ 2,708 ล้านลบ.ม. หรือจัดสรรน้ำเกิน 30 % จากแผน 2,079 ล้านลบ.ม. ลุ่มน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการจัดสรรน้ำ 1,463 ล้านลบ.ม. หรือจัดสรรน้ำเกิน 9% จากแผน 1,337 ล้านลบ.ม.ลุ่มน้ำภาคตะวันออก มีการจัดสรรน้ำ 959 ล้านลบ.ม. หรือจัดสรรน้ำเกิน 4 % จากแผน 923 ล้านลบ.ม.ส่งผลให้น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่น้อยกว่าค่าเฉลี่ย 30% จำนวน 19 แห่ง

การที่ปริมาณน้ำต้นทุนมีปริมาณน้อยแม้จะอยู่ในช่วงฤดูฝน มีสาเหตุมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.ปริมาณฝนตกช่วงฤดูฝนปี2561 ตกน้อยกว่าค่าปกติประมาณ 10%–17% 2.มีการส่งน้ำให้กับพื้นที่เกษตรที่เพาะปลูกเกินแผนในฤดูแล้งปี’61/62 โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีการเพาะปลูกเกินแผน 1.2 ล้านไร่ ทำให้ต้องจัดสรรน้ำมากกว่าแผน 20% หรือ 1,528 ล้าน ลบ.ม.

3.มีปริมาณฝนตกจริงน้อยกว่าที่คาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ประมาณ 30%-40% ในภาคเหนือ กลาง และตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงทำให้ต้องจัดสรรน้ำจากอ่างเก็บน้ำให้พื้นที่การเกษตรมากกว่าแผน

“นับตั้งแต่ 1 พ.ค.เป็นต้นมา กรมอุตุฯและสสน. ได้ยืนยันคาดการณ์ปริมาณฝนที่จะตกในช่วงครึ่งแรกของฤดูฝน เดือน พ.ค.-ก.ค. จะมีปริมาณฝนน้อยกว่าค่าปกติ 5-10% ส่วนครึ่งหลังของฤดูฝน ตั้งแต่ ส.ค.-ต.ค. จะมีปริมาณฝนใกล้เคียงกับค่าปกติและคาดว่าจะมีพายุพัดผ่านประเทศไทย 1 – 2 ลูกในช่วงเดือนส.ค. 62 นี้

แต่จากสถิติฝนที่ตกจริงในช่วง เดือนมิ.ย.-15 ก.ค. ที่ผ่านมาพบว่า มีปริมาณฝนตกน้อยกว่าค่าปกติ 30-40% ในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมีปริมาณฝนมากกว่าปี 2558 ซึ่งเป็นปีแล้งสุดประมาณ 12% ส่วนภาคอื่นๆ เป็นไปตามคาดการณ์ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเอลนีโญกำลังอ่อน โดยที่การคาดการณ์ของกรมอุตุและสสน. สำหรับครึ่งหลังฤดูฝนยังคงยืนยันเหมือนเดิม คือ ใกล้เคียงกับค่าปกติ เทียบใกล้เคียงกับปี 2550”

นายสมเกียรติ กล่าวว่า สถานการณ์น้ำในแหล่งน้ำทั่วประเทศมีปริมาณน้ำรวม 38,665 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 47% ของความจุ แบ่งเป็น ภาคเหนือ 9,183 ล้าน ลบ.ม. หรือ 34%ของความจุ ภาคกลาง 508 ล้าน ลบ.ม. 20%ของความจุอ่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4,246 ล้าน ลบ.ม. 33% ของความจุอ่าง ภาคตะวันตก 18,284 ล้าน ลบ.ม. 68%ของความจุอ่าง ภาคตะวันออก 1,120 ล้าน ลบ.ม. 36%ของความจุอ่าง

ภาคใต้ 5,323 ล้าน ลบ.ม. 58%ของความจุอ่าง และศักยภาพน้ำบาดาล 1,228 ล้าน ลบ.ม.ต่อเดือน โดยมีปริมาณน้ำต้นทุนมากกว่าปี 2558 จำนวน 2,293 ล้าน ลบ.ม. 7%ของความจุอ่าง แต่มีปริมาณน้ำน้อยกว่าปี 2561 จำนวน 11,904 ล้าน ลบ.ม. 25% ของความจุอ่าง มีอ่างฯ ที่มีปริมาณน้ำน้อยกว่า 30% แบ่งเป็น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ จำนวน19 แห่ง ซึ่งต้องเฝ้าระวัง และอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง อีก 151 แห่ง

นายสมเกียรติ กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมา สทนช. ได้มีการคาดการณ์สถานการณ์น้ำ เพื่อประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนรับมือในสถานการณ์ที่อาจจะมีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม หรือฝนทิ้งช่วงตั้งแต่ต้นฤดูฝน โดยทำการวิเคราะห์ชี้เป้าหมายพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อแจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเฝ้าระวังเตรียมการวางแผนรับมือ ทบทวนปรับแผนการจัดสรรน้ำ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงการสำรวจพื้นที่การเกษตรที่ได้รับความเสียหายไว้ล่วงหน้าเพื่อออกมาตรการให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้วย

โดยล่าสุด สทนช.ได้ประเมินพื้นที่ฝนตกน้อยและอาจมีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำโดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทาน 83 อำเภอ 20 จังหวัด แบ่งเป็น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 35 อำเภอ 10 จังหวัดภาคใต้ 27 อำเภอ 8 จังหวัด ภาคเหนือ 18 อำเภอ 6 จังหวัด และภาคตะวันตก 3 อำเภอ 1 จังหวัด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน