ประชาชนเห็นด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะแจกเงินคนจนเพิ่ม-แต่มาตรการท่องเที่ยว-สินเชื่อส่วนใหญ่เห็นว่าตนไม่ได้ประโยชน์ แนะรัฐเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าถึง

ปชช.เห็นด้วยมาตรการกระตุ้นศก. – นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงการประเมินผลกระทบจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ว่า จากการสำรวจความเห็นของประชาชนทั่วไปจำนวน 428 ตัวอย่างทั่วประเทศ และนักธุรกิจหอการค้าไทยทั่วประเทศ 83 ตัวอย่าง พบว่าในส่วนของประชาชน ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 3 แสนล้านบาท มีเพียง 3.4% ที่ไม่เห็นด้วย

โดยให้เหตุผลของการสนับสนุนมาตรการดังกล่าวว่า เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดีรัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการออกมากระตุ้น ทำให้คนที่มีรายได้น้อยมีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นการช่วยเหลือคนจน และเกษตรกร ทำให้ประชาชนมีการใช้จ่ายมากขึ้น และ 88.3% เห็นว่ามาตรการเหล่านี้ได้ประโยชน์โดยตรงในกรณีที่รัฐบาลจะมีการจ่ายเงินเพิ่มให้กับผู้มีรายได้น้อยหรือรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นต่อปีอีก 300 บาทต่อเดือน และจ่ายเพิ่ม 200 บาท ให้กับผู้มรายได้ต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อปี ส่วน 93.4% ก็เห็นว่าได้ประโยชน์จากการที่รัฐบาลจะจ่ายเงินให้กับผู้สูงอายุเพิ่มอีก 500 บาท ส่วน 30.6% เห็นว่าได้ประโยชน์จากการเพิ่มค่าเลี้ยงดูบุตรอีก 300 บาทต่อเดือน

ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ 70.2% เห็นว่าตนไม่ได้ประโยชน์โดยตรงจากมาตรการส่งเสริมจังหวัดนอกภูมิลำเนา เช่น การแจกเงิน 1,000 บาทต่อคน สิทธิขอเงินคืนอีก 10% จากค่าใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวไม่เกิน 3 หมื่นบาท ผ่าน g-wallet ไม่เกิน 3 พันบาท โดยระบุว่าที่ไม่เห็นด้วยเพราะไม่มี g-wallet ไม่มีบัญชีกับธนาคารกรุงไทย ไม่รู้ว่าต้องไปขึ้นทะเบียนที่ไหนอย่างไร

ส่วนประเด็นสินเชื่อที่อยู่อาศัย 89.5% เห็นว่าไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงเนื่องจากรายได้ไม่พอธนาคารไม่น่าปล่อยสินเชื่อให้ เห็นว่าอนุมัติยากและใช้เวลานาน ส่วนมาตรการปล่อยกู้ดอกเบี้ยอัตราพิเศษให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีนั้น กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ประกอบการ 73.8% เห็นว่าได้ประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว แต่กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยระบุว่า เนื่องจากวงเงินเต็มแล้วไม่มีหลักทรัพย์อื่นค้ำ เงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อยากต่อการเข้าถึง ไม่มีการผ่อนปรน

ในส่วนของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นเกษตรกรส่วนใหญ่ 66.5% เห็นว่าไม่ได้ประโยชน์จากมาตรการสินเชื่อใหม่ได้แก่ สินเชื่อฉุกเฉิน รายได้ไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อปี ส่วนสินเชื่อฟื้นฟูและซ่อมแซมความเสียหายรายละไม่เกิน 5 หมื่นบาท 74.9% เห็นว่าไม่ได้ประโยชน์ด้วยเหตุผล ระบุว่ากู้เยอะแล้ว หนี้เก่ายังใช้ไม่หมด ไม่มีหลักทรัพย์ และคนค้ำ ขั้นตอนเยอะ ต้องมีหลักฐานเยอะ รายได้น้อยคาดว่าธนาคารจะไม่ปล่อยสินเชื่อ ส่วนสินเชื่อฟื้นฟูและซ่อมแซมความเสียหายรายละไม่เกิน 5 หมื่นบาท 74.9% เห็นว่าไม่ได้ประโยชน์

สำหรับมาตรการสนับสนุนต้นทุนการผลิตเพื่อปลูกข้าวนาปี 500 บาทต่อไหร่ ไม่เกิน 20 ไร่ เกษตรกร 60.7% เห็นว่าได้ประโยชน์โดยตรง แต่คนที่ไม่เห็นด้วยระบุว่า เพราะไม่ได้ปลูกข้าว และคิดว่าเงินน้อยเกินไป เกษตรกร 69.3% คิดว่าจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากมาตรการพักหนี้เงินกองทุนหมู่บ้านของธ.ก.ส. และธนาคารออมสิน ระยะเวลา 1 ปี ส่วนผู้ที่ไม่ได้ประโยชน์โดยตรงเห็นว่ามีหนี้นอกระบบที่ต้องชำระต่อเนื่อง และบางส่วนไม่ได้เป็นหนี้กับธ.ก.ส. และออมสินอย่างเดียว

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ 39.8% เห็นว่ามาตรการต่างๆ ของรัฐที่ออกมาสามารถทำให้เศรษฐกิจปรับตัวได้ในระดับปานกลางเท่านั้น ส่วนกลุ่มที่ตอบว่ากระตุ้นไม่ได้เลย น้อย และน้อยมาก ให้เหตุผลระบุว่ามาตรการช่วยได้แค่บางกลุ่ม การเข้าถึงหรือการเข้าถึงค่อนข้าวยาก เช่น การแจกเงินท่องเที่ยว 1 พันบาท ไม่ได้ก่อให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นของกลุ่มที่ไม่ได้ประโยชน์จากมาตรการ เศรษฐกิจที่แย่มาจากการส่งออกที่แย่ รัฐบาลควรดูแลการส่งออก รายได้ยังคงอยู่ในระดับต่ำหรือไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิม ไม่แน่ใจในสถานการณ์ในอนาคต ทำให้ประชาชน 35.8% เห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจส่งผลให้การจับจ่ายเพิ่มขึ้นใกล้เคียง 33.8% ที่เห็นว่าการจับจ่ายเท่าเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ด้านการลงทุนของภาคธุรกิจ 42.6% เห็นว่าไม่เปลี่ยนแปลง ด้านการท่องเที่ยว 40.5%, การจ้างงาน 44.9% ก็เห็นว่าไม่เปลี่ยนแปลง และความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ 50.5% เห็นว่าไม่เปลี่ยนแปลง หรือเท่าเดิม

สำหรับผลสำรวจในส่วนของนักธุรกิจหอการค้า 83 ตัวอย่าง ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเห็นด้วยอย่างมากถึง 43.5% เนื่องจากเป็นการสร้างสภาพคล่องให้ธุรกิจ เพิ่มอำนาจการซื้อให้ประชาชน และ 37.69% ส่วนใหญ่เห็นว่ามาตรการดังกล่าวส่งผลต่อเศรษฐกิจของจังหวัดในระดับปานกลาง ส่วนที่เห็นส่งผลกระทบน้อยเนื่องจากมาตรการกระจุกเฉพาะบางธุรกิจ เงินไม่ลงไปสู่รากหญ้าโดยตรง และ 54.6% เห็นว่ามาตรการเร่งด่วนกระทบต่อการใช้จ่ายในจังหวัดในระดับมาก คือ มาตรการประกันรายได้เกษตรกร ส่วนการส่งผลต่อเศรษฐกิจของจังหวัด 43.9% เห็นว่ามาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนรวมถึงสนับสนุนการเปลี่ยนเครื่องจักรจะทำให้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น 42.4% เห็นว่าส่งผลต่อเศรษฐกิจของจังหวัดดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว เป็นต้น ขณะที่ความเห็นด้านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบต่อจังหวัดอย่างไร 46.2% เห็นว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้สภาพคล่องธุรกิจในจังหวัดเพิ่มขึ้น 49.2% เห็นว่าปริมาณสินเชื่อจังหวัดจะเพิ่มขึ้น 28.5% เห็นว่าการลงทุนของเอกชนในจังหวัดจะเพิ่มขึ้น และ 38.0% เห็นว่าการใช้จ่ายของจังหวัดจะเพิ่มขึ้น

นายธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า สำหรับข้อเสนอแนะรัฐบาลควรเร่งมาตรการให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วควรมีมาตรการที่ชัดเจนและประชาสัมพันธ์ให้ผู้เกี่ยวข้องรับทราบอย่างละเอียด ในการปฎิบัติงานของหน่วยงานรัฐอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงนโยบายได้เร็วมากขึ้น ระมัดระวังการทุจริตที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้งบประมาณ มีการตรวจสอบการใช้งบประมาณเพื่อให้ถึงมือประชาชน

“มาตรการของรัฐน่าจะมีผลช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเกิดประโยชน์ในภาพรวมได้ แต่ต้องทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยรวดเร็ว ซึ่งทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์ไว้ 2 กรณี หากมีการใช้จ่ายเม็ดเงินไม่เต็มที่ โดยในไตรมาส 3 ที่ 47,657-61,020 ล้านบาท และไตรมาส 4 ใช้จ่ายได้ 102,639 -122,381 ล้านบาท จะทำให้จีดีพีโตได้ที่ 2.8-3% ยกเว้นกรณีเลวร้ายสุดหากไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและมีปัจจัยลบเพิ่มขึ้น เช่น สงครามการค้ารุนแรงขึ้น อาจจะทำให้จีดีพีโตได้เพียง 2.6% กรณีที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสามารถใช้เม็ดเงินได้อย่างเต็มที่คึกคักในช่วงไตรมาส 3 และ 4 วงเงิน 150,000 -183,000 ล้านบาท คาดว่าจะทำให้จีดีพีทั้งปีโตได้ในกรอบ 3-3.4% เมื่อรวมกับมาตรการประกันรายได้ของรัฐ และ มาตรการ Visa on Arrival ช่วยกระตุ้นให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็น 39.5 ล้านคน ในปีนี้ ทั้งนี้ คาดการณ์ภายใต้ เงินบาทอยู่ระหว่าง 30.7-30.8 บาท และ สถานการณ์สงครามการค้าช่วงวันที่ 1 ก.ย. ไม่รุนแรง มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยยังไม่มีการปรับการประมาณการเศรษฐกิจใหม่ในขณะนี้ โดยยังมองการส่งออกไทยจะโตได้ที่ 0% ถึง ลบ 1% โดยขอรอดูผลของมาตรการประกันรายได้และผลกระทบสงครามการค้าจากมาตรการหลังวันที่ 1 ก.ย. นี้ก่อน ทั้งนี้ การปรับประมาณการใหม่ จะทบทวนในช่วงปลายเดือนก.ย.นี้”นายธนวรรธน์ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน