นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงเหตุการณ์ในซีเรียว่า ตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ มีคำสั่งให้กองทัพสหรัฐฯ โจมตีฐานทัพอากาศเชย์รัตของซีเรียเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2560 เพื่อตอบโต้การใช้อาวุธเคมีสังหารพลเรือนในซีเรียนั้น กระทรวงพาณิชย์มองว่า การโจมตีซีเรียครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมาย แต่อาจจะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องแบ่งกำลังทหารและงบประมาณจากการต่อสู้ ISIS ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักด้านนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ จึงคาดว่า สหรัฐฯ ไม่น่าจะดำเนินการในซีเรียต่อไปนานนัก

นอกจากนี้ กฎหมายสหรัฐฯ มอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี “ประกาศสงคราม” หรือ “แทรกแซงทางทหาร” ต่อรัฐใดรัฐหนึ่ง ซึ่งเกิดสถานการณ์รุนแรงและเลวร้ายที่อาจส่งผลกระทบต่อสหรัฐในอนาคต โดยปฏิบัติการทางทหารต้องเสร็จสิ้นภายใน 60 วัน และกองทัพสหรัฐมีเวลาไม่เกิน 30 วันในการถอนทหาร ดังนั้น หากสหรัฐฯ จะทาสงครามกับซีเรียมากกว่าระยะเวลาดังกล่าว จะต้องได้รับอนุมัติจากสภาคองเกรสก่อน ซึ่งอาจจะใช้เวลานานในการพิจารณา

นางอภิรดีมองว่า ตัวแปรสาคัญในขณะนี้ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย เพราะรัสเซียมีความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลซีเรีย แต่ในเบื้องต้น รัสเซียแสดงความไม่พอใจกับปฏิบัติการของสหรัฐฯ โดยเห็นว่า เป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ และละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน เนื่องจากไม่ได้ผ่านการพิจารณาของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ก่อน ซึ่งรัสเซียได้เรียกร้องให้สหรัฐฯ รอผลการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเป็นการใช้อาวุธเคมีจริงหรือไม่ ก่อนที่จะดำเนินการใดๆ อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้ ทราบว่ารัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และรัสเซีย มีกาหนดจะพบกัน (นัดหมายไว้ก่อนเกิดเหตุการณ์ในซีเรีย) ซึ่งก็หวังว่า จะหาข้อสรุปร่วมกันได้ในเชิงสร้างสรรค์

สำหรับพัฒนาการล่าสุด ที่สหรัฐฯ ส่งเรือรบบรรทุกเครื่องบินเข้าไปใกล้เกาหลีเหนือนั้น คงต้องขอดูก่อนว่า จะมีปฏิบัติการใดตามมาหรือไม่ ก่อนที่จะให้ข้อคิดเห็นต่อไป

สำหรับผลกระทบต่อไทยในชั้นแรกนี้ คงจะเป็นเรื่องของราคาน้ำมัน ซึ่งผลของปฏิบัติการทำให้ ราคาน้ำมันวันศุกร์ปรับเพิ่มขึ้นทุกตลาด คือ WTI +1.04% เป็น 52.24 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล Brent +0.64% เป็น 55.24 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และทอง (Comex) +0.32% เป็น 1,257.30 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ และคาดว่าจะยังมีแนวโน้มและทิศทางที่เพิ่มขึ้น หากสถานการณ์ยังไม่ชัดเจน ซึ่งอาจจะส่งผลดีในแง่ว่า การส่งออกไทยในสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ามันอาจจะได้ราคาดีเพิ่มขึ้น แต่ผลในเชิงลบอาจจะมีมากกว่า โดยเฉพาะกรณีที่เกิดภาวะสู้รบยืดเยื้อ เพราะความตึงเครียดอาจทาให้การค้าขายและการลงทุนโลกชะลอตัว สืบเนื่องจากการขาดความมีเสถียรภาพในเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนและราคาสินค้าซึ่งอาจจะทำให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศเพิ่มขึ้นเช่นกัน จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อมิให้ส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน